เมิร์คพุ่งทะยานออกจากป่าไวท์วูด หลุดออกจากแนวต้นไม้กลายเป็นพื้นที่โล่งกว้างและหุบเขาสูงต่ำ เขาสัมผัสกับดวงอาทิตย์สีแดงดวงใหญ่ อยู่ต่ำแตะเส้นขอบฟ้า หุบเขากว้างใหญ่อยู่ต่อหน้าเขา ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีดำมืด เหมือนพิโรธ และเต็มไปด้วยควัน มีเพลิงไฟที่กำลังลุกไหม้ตรงตำแหน่งที่น่าจะเป็นซากที่เหลืออยู่ของฟาร์มของเด็กหญิง เมิร์คได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างลิงโลดของกลุ่มผู้ชายดังมาถึงที่นี่ พวกอาชญากร เสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความลิงโลดและกระหายเลือด ด้วยสายตาอันเชี่ยวชาญของเขาที่กวาดตามองที่เกิดเหตุ เขาเห็นชายกลุ่มหนึ่ง มีด้วยกันทั้งสิ้นสิบสองคน เปลวไฟจากคบเพลิงที่พวกมันถืออยู่ฉายให้เห็นใบหน้าลุกโชน วิ่งกลับไปกลับมา จุดไฟเผาทำลายทุกสิ่ง บางคนวิ่งจากคอกม้าไปที่บ้าน ใช้คบเพลิงจุดไฟที่หลังคาที่ทำด้วยฟาง ในขณะที่คนอื่น ๆ ใช้ขวานจามสังหารวัวควายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย เขาเห็นว่าหนึ่งในนั้นลากดึงร่าง ๆ หนึ่งด้วยเส้นผมผ่านพื้นที่เต็มไปด้วยโคลน
ร่างของผู้หญิง
หัวใจของเมิร์คเต้นเร็วขึ้น เมื่อเขาสงสัยว่าร่างนั้นใช่ร่างของเด็กผู้หญิงหรือไม่ – และสงสัยด้วยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ชายผู้นั้นลากเธอไปยังกลุ่มคนที่คาดว่าเป็นครอบครัวของเธอ พวกเขาถูกมัดติดอยู่กับโรงนาด้วยเชือก ครอบครัวเธอประกอบด้วยพ่อ แม่ และเคียงข้างด้วยเด็กผู้หญิงสองคนที่ตัวเล็กกว่าและอายุน้อยกว่า คาดว่าจะเป็นน้องของเธอ เมื่อลมพัดพาเอากลุ่มควันไฟสีดำออกไป เมิร์คเหลือบเห็นเส้นผมสีบลอนด์ที่เปราะไปด้วยโคลน และเขารู้ในทันทีว่าเป็นเธอนั่นเอง
เมิร์ครู้สึกได้ถึงกระแสของอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านในตัวเขา ในขณะที่เขาเร่งฝีเท้าลงมาตามทางลาดเขา เขาวิ่งเข้าไปในบริเวณที่เป็นพื้นโคลน ท่ามกลางเปลวไฟและควันและในที่สุดเขาก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น: ครอบครัวของเด็กผู้หญิง ที่อยู่ติดกับผนังล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว ถูกปาดที่ลำคอ ร่างยังถูกมัดอยู่กับผนัง เขารู้สึกโล่งอกที่เห็นเด็กผู้หญิงที่กำลังถูกลากเพื่อไปรวมกับครอบครัวของเธอยังมีชีวิตอยู่ และพยายามดิ้นรนขัดขืน เขามองเห็นเจ้าคนร้ายยืนรอเธออยู่ ในมือถือกริชเล่มหนึ่ง และเขารู้ทันทีว่า เธอคือรายต่อไป เขามาถึงช้าเกินไปที่จะช่วยชีวิตครอบครัวของเธอ – แต่ไม่ช้าเกินไปที่จะช่วยชีวิตเธอไว้ได้
เมิร์ครู้ว่าเขาต้องจู่โจมในขณะที่ชายกลุ่มนั้นยังไม่ทันตั้งตัว เขาลดความเร็วลงและค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้าไปตรงกลาง เหมือนกับว่าเขามีเวลาเหลือเฟือ เพื่อรอจังหวะให้พวกมันสังเกตเห็น และต้องการให้พวกมันสับสน
ในไม่ช้า หนึ่งในนั้นก็สังเกตเห็นเขา เจ้าวายร้ายหมุนตัวหาเขาโดยันที ตกตะลึงที่เห็นร่างของชายคนหนึ่งเดินอย่างสุขุมเข้ามายังพื้นที่ที่มีการสังหารโหด เขารีบตะโกนบอกพรรคพวก
เมิร์ครู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนจ้องมองมายังตัวเขา ขณะที่เขาย่างสามขุมเข้าไปหาเด็กผู้หญิง คนที่กำลังลากเธออยู่มองข้ามไหล่มายังเมิร์ค ทันทีที่เห็น มันหยุดชะงัก คลายมือที่ลากเธออยู่ ปล่อยเธอตกลงไปในโคลน มันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าเมิร์คพร้อมกับพรรคพวกของมัน ทั้งหมดย่างเข้ามาและพร้อมที่จะต่อสู้
“ดูสิว่าใครมา?” เสียงร้องจากชายคนที่น่าจะเป็นหัวหน้า เป็นคนที่ปล่อยเด็กผู้หญิงลง ทันทีที่มันเห็นเมิร์ค มันชักดาบออกมาจากเข็มขัดและย่างเข้ามา ในขณะที่คนอื่น ๆ ล้อมเป็นวงกลม
เมิร์คจ้องมองไปที่เด็กผู้หญิงเพียงอย่างเดียว ตรวจสอบดูว่าเธอยังมีชีวิตอยู่และไม่เป็นอันตราย เขารู้สึกโล่งอกที่เห็นเธอนอนบิดไปมาบนพื้นโคลน พยายามที่จะพยุงกายลุกขึ้น ยกศีรษะขึ้นมองมายังเขา ด้วยความมึนงงและสับสน เมิร์ครู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็มาทัน อย่างน้อยที่สามารถช่วยชีวิตเธอได้ บางที ครั้งนี้อาจเป็นก้าวแรกของเส้นทางอันยาวไกลเพื่อไถ่โทษ เขาตระหนักว่า บางทีก้าวแรกอาจไม่ได้เกิดขึ้นที่ป้อมปราการ แต่เป็นที่นี่แทน
ในขณะที่เด็กผู้หญิงพลิกตัวบนพื้นโคลน พยายามที่จะใช้ข้อศอกพยุงตัวลุกขึ้น ทั้งคู่ก็ประสานสายตากัน และเขามองเห็นความหวังเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตาของเธอ
“ฆ่ามัน!” เธอกรีดร้องขึ้นมา
เมิร์คยังคงเยือกเย็น เขาเดินอย่างสบาย ๆ มาหาเธอ เหมือนกับไม่มีชายกลุ่มนั้นที่รายล้อมอยู่เลย
“แกรู้จักเด็กผู้หญิงคนนี้สินะ” หัวหน้าตะโกนมาที่เขา
“เป็นลุงสินะ?” หนึ่งในนั้นพูดอย่างขบขัน
“หรือพี่ชายที่หายสาบสูญ?” อีกคนหนึ่งพูดพลางหัวเราะ
“แกมาเพื่อปกป้องเธอหรือไงวะ ไอ้แก่?” อีกคนหนึ่งเยาะเย้ย
คนอื่น ๆ เปล่งเสียงหัวเราะในขณะที่พวกมันใกล้เข้ามา
ในขณะที่เขาไม่แสดงออก เมิร์คใช้สายตาตรวจสอบคู่ต่อสู้ของเขา ใช้หางตากวาดมอง นับจำนวนว่าทั้งหมดมีจำนวนกี่คน ตัวสูงใหญ่แค่ไหน เคลื่อนไหวเร็วขนาดไหน รวมถึงอาวุธที่พวกมันถือ เขาวิเคราะห์ถึงกล้ามเนื้อและไขมันที่มี เสื้อผ้าที่สวมใส่ ความยืดหยุ่นของพวกมันในเสื้อผ้าเหล่านั้น ความคล่องตัวของพวกมันในรองเท้าบูทที่พวกมันสวมอยู่ เขารวบรวมอาวุธที่พวกมันมี – มีดพก, กริช, และดาบที่ลับคมแบบลวก ๆ – และเขาวิเคราะห์ว่าคนกลุ่มนี้ถืออาวุธแบบไหน ถือด้านข้างหรือด้านหน้า อยู่ในมือข้างไหน
เขารู้ดีว่า คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นมือสมัครเล่น และไม่มีสักคนเลยที่จะกริ่งเกรงเขา ยกเว้นอยู่คนเดียว คือเจ้าคนที่มีหน้าไม้ เมิร์คบันทึกไว้ในหัวว่า เขาต้องจัดการกับคนนี้เป็นคนแรก
แล้วเมิร์คก็เข้าสู่สภาวะที่แตกต่าง รูปแบบการคิดที่แตกต่าง เป็นรูปแบบที่นำทางเขาอย่างเป็นธรรมชาติ เวลาที่ต้องเผชิญหน้า เขาเข้าสู่โลกของตัวเอง โลกที่เขาสามารถควบคุมได้เพียงน้อยนิด และเป็นโลกที่เขาได้อุทิศร่างกายให้แล้ว มันเป็นโลกที่บงการเขาว่า มีกี่คนที่เขาต้องฆ่า รวดเร็วแค่ไหน และมีประสิทธิภาพเพียงใด รวมทั้ง ทำอย่างไรให้สามารถทำลายล้างได้สูงสุดด้วยความพยายามที่น้อยที่สุดที่เป็นไปได้
เขารู้สึกเสียดายแทนคนกลุ่มนี้จริง ๆ พวกมันไม่รู้เลยว่ากำลังเดินเข้าไปหาอะไรอยู่
“เฮ้ย ฉันกำลัง พูด กับแกอยู่นะ!” คนที่เป็นหัวหน้าร้องออกมา ตัวมันห่างออกไปเพียง 10 ฟุตเท่านั้น ในมือถือดาบ หน้าตายิ้มเยาะ เดินใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมิร์คยังคงเดินตามเส้นทางเดิมต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยความสุขุม และไม่แสดงออกใด ๆ เขามีสมาธิ และแทบไม่ได้ยินเสียงของคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเลย ตอนนี้จิตใจของเขาไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เขาไม่อาจวิ่ง หรือแสดงอาการโกรธเกรี้ยวใด ๆ จนกว่าจะเหมาะสม และเขารับรู้ได้ถึงความสงสัยในกลุ่มคนเหล่านี้ที่เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย
“เฮ้ย นี้แกรู้ไหมว่ากำลังจะตาย?” หัวหน้ายืนยัน “แกได้ยินฉันไหมวะ?”
เมิร์คเดินอย่างสุขุม ในขณะที่หัวหน้าเริ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และไม่รอช้าอีกต่อไป เขาตะโกนด้วยความโกรธ เงื้อดาบของเขาขึ้นและเข้าจู่โจม หมายฟันลงมาที่ไหล่ของเมิร์ค
เมิร์คใจเย็นรอเวลาและไม่แสดงอาการใด ๆ เขาเดินช้า ๆ ไปหาผู้ที่กำลังจู่โจมเข้ามา รอจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ไม่แสดงออกถึงอาการหวาดวิตกและไม่ส่งสัญญาณที่จะต่อต้านใด ๆ เลย
เขารอจนกระทั่งดาบของคู่ต่อสู่ยกขึ้นสู่จุดสูงสุด สูงเหนือศีรษะของชายผู้นั้น จังหวะนี้เป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของทุกคน นี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เป็นเวลานานมาแล้ว ทันใดนั้น รวดเร็วเกินกว่าที่ศัตรูคนใดจะคาดการณ์ได้ เมิร์คพุ่งทะยานเข้าหา เหมือนงูฉก ใช้นิ้ว 2 นิ้วของเขาจู่โจมโดยกดที่บริเวณด้านใต้รักแร้ของชายผู้นั้น
ผู้จู่โจมมีดวงตาที่ปูดบวมจากความเจ็บปวดและประหลาดใจ จนต้องทิ้งดาบโดยฉับพลัน
เมิร์คก้าวเข้าประชิดตัว เอื้อมแขนข้างหนึ่งของเขาโอบรอบแขนของชายผู้นั้น จับฝ่ามือไว้ในท่าล็อก ขณะนั้น เขาคว้าด้านหลังของคอและบังคับหมุนชายผู้นั้นไปมาเหมือนเป็นโล่กำบัง เนื่องจากเมิร์คไม่ได้กังวลในตัวชายที่เป็นหัวหน้าคนนี้เท่ากับคนที่ถือหน้าไม้อยู่ด้านหลัง เมิร์คเลือกที่จะจู่โจมเจ้าทึ่มนี้ก่อนเพียงเพื่อให้เขามีโล่มนุษย์
เมิร์คหมุนตัวเผชิญหน้าชายที่ถือหน้าไม้ และก็เป็นอย่างที่คาด เขาขึ้นหน้าไม้ และเล็งมาที่ตัวเขาแล้ว ในขณะนั้นเอง เขาได้ยินเสียงลูกธนูถูกปล่อยออกมาจากหน้าไม้ และเขามองเห็นมันพุ่งตรงมายังตัวเขา เมิร์คจับโล่ที่เป็นคนที่กำลังดิ้นกระแด่ว ๆ ไว้อย่างแน่นหนา
ต่อมาเขาได้ยินเสียงลมหายใจขาดช่วง เมิร์ครู้สึกได้ว่าตัวของเจ้าทึ่มผงะในแขนเขา ตัวหัวหน้าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และเมิร์คก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของตัวเองด้วยเช่นกัน เหมือนมีดกรีดลงมาตรงกระเพาะของเขา ตอนแรกเขารู้สึกสับสน – แต่ไม่ช้าจึงได้รู้ว่าลูกธนูทะลุผ่านท้องของโล่มนุษย์ และหัวลูกศรทะลุผ่านมาที่ท้องของเมิร์คด้วย มันจมลงไปในผิวหนังเพียงแค่ประมาณครึ่งนิ้ว – ไม่มากพอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส – แต่ก็แรงพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดเหมือนนรก
จากการคำนวณเวลาที่ต้องใช้ในการบรรจุลูกธนูใหม่ เมิร์คปล่อยเจ้าหัวหน้าซึ่งตอนนี้อ่อนปวกเปียกลงบนพื้น คว้าดาบจากมือของเขา และขว้างไปยังเจ้าวายรายที่มีหน้าไม้เป็นอาวุธ ดาบหมุนคว้างไปปักที่หน้าอก ชายผู้นั้นกรีดร้องเสียงแหลม ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด เขาปล่อยหน้าไม้ลง และร่างก็ร่วงลงไปกองอยู่ข้างหน้าไม้
เมิร์คหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าพวกที่เหลือ ทั้งหมดอยู่ในอาการตะลึง นักสู้ฝีมือดีที่สุดทั้งสองก็ตายไปแล้ว ตอนนี้ทั้งหมดที่เหลือยังอยู่ในอาการไม่แน่ใจ พวกเขาพากันมองหน้ากัน ตะลึง นิ่งเงียบ
“แกเป็นใคร?” ในที่สุด คนหนึ่งก็ร้องถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกลัวลนลาน
เมิร์คยิ้มกว้างและหักนิ้วมือ แสดงออกถึงความเพลิดเพลินเป็นที่สุด
“ฉัน” เขาตอบ “คือฝันร้ายของพวกแกยังไงล่ะ”
บทที่ห้า
ดันแคนควบม้าไปพร้อมกับกองทัพ เสียงม้าจำนวนนับร้อยดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เขานำกองกำลังมุ่งลงใต้ ออกมาห่างจากอาร์โกส์ เอนวินและอาร์ทฟอล ทหารที่ดันแคนไว้วางใจกำลังอยู่เคียงข้างเขา ส่วนวิดาร์ยังอยู่ที่ฐานเพื่อปกป้องโวลิส ทหารนับร้อยเรียงแถวขึ้นมา ทั้งหมดควบม้าออกไปด้วยกัน ดันแคนไม่เหมือนขุนศึกคนอื่น เขาชอบขี่ม้าไปพร้อมกับทหาร เขาไม่เคยมองทหารเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งของ แต่ทั้งหมดคือสหายร่วมรบของเขา
พวกเขาควบม้าไปในยามค่ำคืน ลมหนาวพัดโชยมา พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยหิมะ พวกเขารู้สึกดีที่ได้วิ่งไปสู่สงครามโดยไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอย่างขี้ขลาดอยู่หลังกำแพงโวลิสอีกต่อไป ซึ่งดันแคนทำแบบนั้นมาครึ่งค่อนชีวิต ดันแคนมองดูลูกชายของเขา แบรนดอนและแบรกซ์ตันขี่ม้าอยู่เคียงข้างทหาร เขาภูมิใจที่ลูกชายของเขามาร่วมรบด้วย ลึกลงไปในใจดันแคนยังคงเป็นห่วงไคร่า แม้ว่าเวลาจะผ่านไป เขาบอกตัวเองเสมอว่าไม่ต้องเป็นกังวล แต่ค่ำคืนเช่นนี้ดันแคนกลับคิดถึงเรื่องร้าย ๆ เกี่ยวกับไคร่า