ไคร่าหัวเราะในขณะที่ลีโอกระโจนทับตัวเธอ ขาทั้งสี่ยืนอยู่บนหน้าอก และเลียไปที่ใบหน้าของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แอนดอร์คำรามอยู่ด้านหลัง พร้อมที่จะปกป้องเธอ ลีโอกระโจนขึ้นเผชิญหน้าและคำรามตอบ สิ่งมีชีวิตทั้งสองล้วนไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด และทั้งคู่ต้องการปกป้องเธอ ทำให้ไคร่ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง
เธอกระโดดขึ้นขวางระหว่างสัตว์ทั้งสอง ดึงลีโอไว้
“ไม่เป็นไร ลีโอ” เธอบอก “แอนดอร์เป็นเพื่อนของฉัน และแอนดอร์” เธอบอกพลางหันกลับไป “ลีโอก็เป็นเพื่อนของฉันเช่นกัน”
ลีโอถอยกลับอย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่แอนดอร์ยังคงคำราม แม้จะลดความดังลงหน่อยก็ตาม
“ไคร่า!”
ไคร่าหันไปตามเสียงในขณะที่เอแดนวิ่งเข้ามาสวมกอด เธอก้มตัวลงไปและกอดเขาแน่น ในขณะที่สองแขนเล็ก ๆ ของเขาโอบหลังไคร่าไว้ เธอรู้สึกดีที่ได้สวมกอดน้องชายของเธอ ผู้ซึ่งเธอมั่นใจว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตของเธอ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นอยู่อย่างเดิมโดยไม่มีเปลี่ยนแปลง
“ฉันได้ยินว่าพี่อยู่ที่นี่” เขาพูดอย่างเร่งรีบ “และฉันรีบเดินทางมาหาพี่ ฉันดีใจจริง ๆ ที่พี่กลับมา”
เธอยิ้มเศร้า ๆ
“น่ากลัวว่าอีกไม่นานนะ น้องชาย” เธอบอก
ความกังวลฉายขึ้นที่ใบหน้าของเขา
“พี่กำลังจะไปหรือ?” เขาถาม ท่าทีผิดหวัง
ท่านพ่อเข้ามาขัดจังหวะ
“เธอต้องไปหาท่านลุง” เขาอธิบาย “ปล่อยเธอไปเสีย”
ไคร่าสังเกตว่าท่านพ่อพูดว่า ลุงของเธอ ไม่ใช่ลุงของเจ้า และเธอรู้สึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดท่านพ่อจึงพูดเช่นนี้
“ถ้าอย่างนั้น ขอฉันไปด้วยนะ!” เอแดนยืนยันอย่างภาคภูมิใจ
ท่านพ่อส่ายหน้า
“เจ้าไปไม่ได้” เขาตอบ
ไคร่ายิ้มให้น้อยชายของเธอ ช่างกล้าหาญเหมือนที่เคยเป็น
“พ่อต้องการให้น้องอยู่อีกที่หนึ่ง” เธอบอก
“ที่สมรภูมิหรือ?” เอแดนถาม หันหน้าไปหาท่านพ่ออย่างมีความหวัง “ท่านกำลังเดินทัพไปยังเอสเฟส” เขาพูดอย่างเร่งรีบ “ฉันได้ยิน! และฉันต้องการร่วมทัพด้วย!”
แต่เขาส่ายหัว
“พ่อต้องการให้ลูกอยู่ที่โวลิส” เขาตอบ “เจ้าจะอยู่ที่นี่ ได้รับการคุ้มกันโดยเหล่าทหารที่พ่อทิ้งไว้ สมรภูมิยังไม่เหมาะสำหรับลูกในเวลานี้ สักวันหนึ่งเท่านั้น”
เอแดนหน้าแดงด้วยความผิดหวัง
“แต่ลูกอยากต่อสู้นะ ท่านพ่อ!” เขาประท้วง “ลูกไม่ต้องการอยู่เฉย ๆ ในป้อมปราการที่ว่างเปล่าพร้อมกับผู้หญิงและเด็ก ๆ!”
เหล่าทหารพากันหัวเราะคิกคัก แต่ท่านพ่อมีสีหน้าจริงจัง
“พ่อตัดสินใจแล้ว” เขาตอบห้วน ๆ
เอแดนมีสีหน้าบูดบึ้งทันที
“หากลูกไม่สามารถไปกับไคร่าและท่านพ่อได้” เขาพูดอย่างไม่ลดละความพยายาม “แล้วลูกจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำสงครามได้อย่างไร แล้วเมื่อไรลูกจะได้เรียนรู้การใช้อาวุธล่ะ? แล้วที่ฝึกฝนมานี่ เพื่ออะไรหรือ?”
“รอให้หน้าอกเจ้ามีขนขึ้นเสียก่อน น้องชาย” แบรกซ์ตันหัวเราะขณะก้าวเข้ามาพร้อมแบรนดอนขนาบข้าง
เสียงหัวเราะดังขึ้นในกลุ่มทหาร และเอแดนหน้าแดง แน่นอนว่าเขารู้สึกอับอายต่อหน้าคนอื่น ๆ
ไคร่ารู้สึกไม่ดี จึงคุกเข่าต่อหน้าเขาและจ้องมองเขาพร้อมวางมือข้างหนึ่งลงบนแก้ม
“เธอจะเป็นนักรบที่ดีเยี่ยมกว่าพวกนั้นทั้งหมด” เธอพูดให้ความมั่นใจแก่เขาอย่างแผ่วเบา เพียงเพื่อให้เขาได้ยิน “จงอดทน และในระหว่างนี้ ดูแลโวลิส พี่ต้องการให้น้องทำหน้าที่นี้ ทำให้พี่ภูมิใจ แล้วพี่จะกลับมา พี่ให้สัญญา และในวันข้างหน้า เราจะร่วมรบในสมรภูมิสำคัญด้วยกัน”
เอแดนดูเหมือนจะอ่อนโยนลงบ้าง เมื่อเขาโน้มตัวมาข้างหน้าและสวมกอดเธออีกครั้ง
“แต่ฉันไม่อยากให้พี่ไป” เขาพูดอย่างแผ่วเบา “ฉันฝันถึงพี่ ฉันฟันว่า...” เขามองมาที่เธออย่างลังเล ดวงตาเอ่อท้นด้วยน้ำตา “...ว่าพี่จะต้องตายเมื่อไปที่นั่น”
ไคร่ารู้สึกตะลึงในคำพูดของเขา โดยเฉพาะสิ่งที่เธอเห็นในดวงตาของเขา มันหลอกหลอนเธอ เธอไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดจึงจะเหมาะสม
เอนวินก้าวมาข้างหน้าและนำผ้าคลุมขนสัตว์ผืนหนาคลุมที่ไหล่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ไคร่า เธอยืนขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองหนักขึ้นถึงสิบปอนด์ แต่ผ้าคลุมผื่นนี้กันลมและความหนาวเหน็บทั้งหลายได้จนหมดสิ้น เขายิ้มตอบ
“ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล และดวงไฟยังห่างออกไป” เขาบอก และสวมกอดเธอ
ท่านพ่อของเธอเดินมาข้างหน้า และสวมกอดเธอ เป็นกอดที่เข้มแข็งของผู้นำกองทัพ เธอกอดเขาและรู้สึกได้ถึงความแนบแน่นรุนแรงจากกล้ามเนื้ออันแข็งแรงของเขา รู้สึกได้ถึงความปลอดภัย
“ลูกเป็นลูกของพ่อ” เขาพูดอย่างหนักแน่น “อย่าลืมนะ” แล้วเขาพูดเสียงเบามาก เพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน “พ่อรักลูก”
เธอรู้สึกตื้นตันด้วยความรู้สึกทั้งหลาย ก่อนที่เธอจะมีโอกาสพูดอะไรออกไป เขาหมุนตัวกลับและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว – ในขณะเดียวกัน ลีโอก็ส่งเสียงร้อง และกระโดดขึ้นมาหาเธอ ดุนจมูกของมันกับหน้าอกของเธอ
“มันอยากไปกับเธอ” เอแดนตั้งข้อสังเกต “เอามันไปด้วยเถอะ – พี่ต้องการมันมากกว่าฉัน ที่ต้องอยู่ที่โวลิสนี้ อีกอย่าง มันเป็นสัตว์เลี้ยงของพี่อยู่แล้ว”
ไคร่ากอดลีโอ ไม่อาจปฏิเสธได้ มันก็ต้องการเพียงอยู่เคียงข้างเธอ เธอรู้สึกปลอดภัยเมื่อคิดว่ามีมันร่วมเดินทางด้วย เธอคิดถึงมันอย่างมาก เธออาจได้ประโยชน์จากตาและหูของมันเช่นกัน และไม่มีสัตว์ตัวใดที่ซื่อสัตย์ไปกว่าลีโออีกแล้ว
เมื่อพร้อม ไคร่าขึ้นขี่หลังแอนดอร์ในขณะที่ทหารของท่านพ่อของเธอเริ่มเปิดทางให้ เขาถือคบเพลิงเป็นแนวไปจนถึงสะพานเพื่อแสดงออกถึงความเคารพ ขับไล่ความมืดในยามค่ำคืน และส่องทางให้เธอ เธอมองทะลุไปด้านหลังและเห็นท้องฟ้าที่กำลังมืดลง ป่ารกอยู่ต่อหน้า เธอรู้สึกตื่นเต้น กลัว และเหนือสิ่งอื่นใด รู้สึกถึงภาระหน้าที่ ด้วยเป้าหมาย ก่อนเธอจะดำเนินภารกิจที่สำคัญที่สุดในชีวิต ภารกิจที่ไม่ใช่มีเพียงแค่ศักดิ์ศรีของเธอเท่านั้นเป็นเดิมพัน แต่มันหมายถึงโชคชะตาของเอสคาลอน ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว
เธอคล้องสายซองใส่ลูกธนูไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง และคันธนูที่ไหล่อีกข้างหนึ่ง ลีโอและเดียร์ดรีอยู่เคียงข้าง เธอขี่แอนดอร์อยู่ ทหารทั้งหมดมองเฝ้าดู ไคร่าเริ่มขี่แอนดอร์ออกก้าวเดินไปที่ประตูเมือง เธอค่อย ๆ ไปอย่างช้า ๆ ในช่วงแรก ผ่านคบเพลิงและเหล่าทหาร รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในความฝัน เดินไปสู่โชคชะตาของเธอ ไคร่าเดินหน้าโดยไม่เหลียวหลังกลับ ด้วยไม่ต้องการให้เสียความตั้งใจ เสียงเป่าแตรเขาสัตว์โดยทหารของท่านพ่อของเธอ เสียงแตรแห่งการลาจาก เสียงแห่งความเคารพ
เธอเตรียมพร้อมที่จะกระตุ้นแอนดอร์ แต่เขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว เขาเริ่มต้นวิ่ง ครั้งแรกเป็นการวิ่งเหยาะ ๆ ตามด้วยการควบ
ในไม่นาน ไคร่าพบว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่ในเส้นทางที่เต็มไปด้วยหิมะ ผ่านประตูแห่งอาร์โกส์ ข้ามสะพาน ออกไปสู่พื้นที่โล่ง สายลมเยือกเย็นปะทะเส้นผม และไม่เหลือสิ่งใดนอกจากเส้นทางอันยาวไกล เจ้าสัตว์ที่ดุร้าย และความมืดมิดในยามค่ำคืน
บทที่สี่
เมิร์ควิ่งผ่าเข้าไปในป่า สะดุดที่พื้นดินลาดเอียง วิ่งเปะปะไประหว่างต้นไม้ เสียงใบไม้แห้งในป่าไวท์วูดดังกรอบแกรบใต้เท้าของเขา ในขณะที่เขาวิ่งด้วยพลังทั้งหมดที่มี เขามองไปข้างหน้าและพยายามจับตากลุ่มควันที่พวยพุ่งที่เส้นขอบฟ้า ตัดกับสีแดงเหมือนเลือดสดของอาทิตย์ยามอัสดง เขายิ่งรู้สึกถึงความรีบร้อนที่เพิ่มขึ้น เขารู้ว่าเด็กผู้หญิงต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในบริเวณนี้ เป็นไปได้ว่าอาจถูกสังหารในเวลานี้ก็ได้ แต่เขาไม่สามารถทำให้ขาทั้งสองข้างก้าวไปได้เร็วกว่านี้แล้ว
ดูเหมือนว่าการฆ่าจะติดตามเขาไปทุกแห่ง และมันเผชิญหน้ากับเขาได้ทุกวัน เหมือนที่ทุกคนกลับบ้านเพื่อรับประทานอาหารเย็น แม่ของเขาเคยบอกว่า เขากลับมีนัดกับความตาย คำพูดเหล่านี้ก้องอยู่ในหัวของเขา และตามหลอกหลอนเขามาตลอดชั่วชีวิต คำพูดของเธอเป็นความจริงหรือไม่? หรือเป็นเพราะเขาเกิดมาพร้อมดาวสีดำอยู่เหนือหัวของเขา?
สำหรับเมิร์คแล้ว การฆ่าดูจะเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของชีวิตเขา เหมือนหายใจ เหมือนกินอาหารกลางวัน ไม่ว่าคนที่เขาจัดการจะเป็นใคร หรือจะฆ่าด้วยวิธีใดก็ตาม ยิ่งครุ่นคิดถึงมันมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น มันทำให้เขารู้สึกอยากอาเจียนมาตลอดชั่วชีวิต และเมื่อใดก็ตามที่มโนธรรมที่อยู่ในใจของเขาจะกรีดร้องให้เขาหันหลังกลับ เริ่มต้นชีวิตใหม่ และดำรงตนเหมือนนักแสวงบุญของป้อมปราการแห่งเออร์ เขาไม่สามารถทำตามคำเรียกร้องได้สำเร็จ หรือจะกล่าวว่า ความรุนแรงร้องเรียกเขาอีกครั้งแล้ว และครั้งนี้เขายิ่งไม่สามารถปฏิเสธเสียงเรียกร้องนั้นได้
เมิร์ควิ่งต่อไป กลุ่มควันที่พวยพุ่งอยู่ใกล้เข้า เขาเริ่มหายใจลำบากขึ้น กลิ่นควันทำให้เขาแสบจมูก และความรู้สึกที่คุ้นเคยกำลังเริ่มเข้าครอบงำตัวเขา มันไม่ใช่ความกลัว และในหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แม้แต่ความตื่นเต้น มันเป็นความรู้สึกแห่งความคุ้นเคย เหมือนเขากำลังจะเป็นเครื่องจักรสังหาร ทุกครั้งที่เขาเข้าสู่สมรภูมิ – ของการสู้รบภายในตัวของเขา การสู้รบในรูปแบบนี้ เขาฆ่าข้าศึกที่เผชิญหน้าเขา โดยไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนหลังกะบังหมวกหรือเกราะเหล็ก หรือแม้แต่มีฝูงชนปรบมือให้เหมือนเป็นอัศวินผู้โด่งดัง ในทัศนะของเขาแล้ว สมรภูมิของเขานับเป็นสมรภูมที่ต้องการความกล้าหาญที่สุด และเหมาะสมสำหรับนักรบที่แท้จริงเช่นเขา
และแม้แต่ในขณะที่เขาวิ่ง เมิร์ครู้สึกถึงบางอย่างที่แตกต่าง โดยปกติแล้ว เมิร์คไม่เคยสนใจว่าใครจะอยู่หรือใครจะตาย มันเป็นเพียงแค่งานเท่านั้น นั่นช่วยกันเขาออกมาจากการใช้เหตุผล เป็นอิสระจากการถูกบดบังด้วยอารมณ์ แต่ในครั้งนี้มันแตกต่าง นับเป็นครั้งแรกตราบนานเท่าที่เขาจะจดจำได้ที่เขาทำโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนจากใครเลย เขาดำเนินการด้วยความประสงค์ของตนเองอย่างแท้จริง โดยไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากเขารู้สึกสมเพชในตัวเด็กผู้หญิง และรู้สึกต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง มันทำให้เขาต้องลงทุนลงแรง และเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้สักเท่าไร เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ดำเนินการให้เร็วกว่านี้ และเสียใจที่ปฏิเสธเธอก่อนหน้านี้
เมิร์ควิ่งด้วยความเร็วคงที่ เขาไม่พกอาวุธใด ๆ เลย –ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น สิ่งที่อยู่ภายใต้เข็มขัดของเขามีเพียงกริชเพียงเล่มเดียวเท่านั้น และนั่นก็เพียงพอแล้ว ความเป็นจริงแล้ว เขาอาจไม่จำเป็นต้องใช้มันเลยก็ได้ เขาชอบที่จะเข้าสู่สมรภูมิโดยปราศจากอาวุธ มันช่วยให้คู่ต่อสู่ของเขาขาดความระมัดระวง นอกจากนี้ เขายังสามารถปลดอาวุธของศัตรูและใช้อาวุธนั้นในการต่อสู้ได้ ทำแบบนี้เหมือนกับเขามีคลังอาวุธอยู่ในทุกที่ที่เขาไป