นับตั้งแต่ที่ทุกคนได้บอกลาธอร์ พวกเขาก็เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ เลียบหุบเขาใหญ่ โดยรู้ว่ามันจะพาพวกเขาไปยังซิเลเซีย เมืองที่อยู่ทางตะวันตกสุดในภาคตะวันตกของอาณาจักรวงแหวน ขณะที่พวกเขาเดินทางไป หมอกน่าขนลุกของหุบเขาใหญ่ม้วนตัวเป็นคลื่น ลอยอ้อยอิ่งอยู่ที่ข้อพระบาทของเจ้าหญิงเกว็น
“เราอยู่ไม่ไกลแล้ว เจ้าหญิง” มีเสียงทูลขึ้น
เจ้าหญิงเกว็นทรงหันมาเห็นสร็อกที่ยืนอยู่อีกข้างของพระนาง แต่งกายด้วยชุดเกราะสีแดงที่มีลักษณะเฉพาะของซิเลเซีย ขนาบด้วยนักรบของเขาหลายคน ซึ่งต่างแต่งชุดเกราะและสวมรองเท้าบู้ทสีแดง เจ้าหญิงเกว็นทรงประทับใจกับความมีน้ำใจของสร็อกที่มีต่อพระนาง ความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อพระบิดาของพระนาง และข้อเสนอให้ทรงมาลี้ภัยที่ซิเลเซีย เจ้าหญิงเกว็นทรงไม่รู้ว่าหากไม่มีเขา พระนางและผู้คนเหล่านี้จะทำเช่นไร ตอนนี้ทุกคนอาจจะยังติดอยู่ที่ราชสำนัก รอความเมตตาของราชากาเร็ธผู้ชั่วร้าย
สร็อกเป็นขุนนางที่มีเกียรติที่สุดคนหนึ่งที่พระนางเคยพบ สร็อกมีทหารหลายพันคนในอาณัติของเขา และครอบครองป้อมปราการที่มีชื่อเสียงที่สุดของตะวันตก เขาไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใครเลย แต่เขากลับจงรักภักดีต่อพระบิดา เป็นการคานอำนาจที่ละเอียดอ่อน ในรัชสมัยของเสด็จปู่ ซิเลเซียจำเป็นต้องพึ่งราชสำนัก แต่ในรัชสมัยของพระบิดา ความจำเป็นก็ลดน้อยลง และยิ่งในสมัยของเจ้าหญิงเกว็นแล้ว ไม่ต้องการเลยด้วยซ้ำ ที่จริงแล้วการที่โล่พลังสลายไปและมีเหตุวุ่นวายในราชสำนัก ทำให้ทุกคนต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องพึ่งซิเลเซีย
แน่นอนว่ากองรบเงินและกองทหารยุวชนเป็นนักรบที่ดีที่สุด รวมทั้งทหารหลายพันคนที่เดินทางมาพร้อมเจ้าหญิงเกว็น ซึ่งมีขนาดครึ่งหนึ่งของกองทัพหลวง สร็อกจะทำเหมือนลอร์ดคนอื่น ๆ ก็ได้ เพียงแค่ปิดประตูเมืองและดูแลคนของตัวเองเท่านั้น
แต่เขากลับตามหาพระนาง และแสดงความจงรักภักดี ทั้งยังยืนกรานที่จะต้อนรับทุกคน เป็นน้ำใจซึ่งเจ้าหญิงเกว็นทรงตั้งพระทัยที่จะตอบแทนให้ได้สักวัน หากว่าทุกคนสามารถรอดชีวิตไปได้
“ท่านไม่ต้องกังวล” พระนางตรัสอ่อนโยน พลางแตะข้อมือเขา “เราจะเดินไปจนสุดขอบโลกเพื่อไปยังเมืองของท่าน พวกเราโชคดีมากที่ได้รับน้ำใจจากท่านในเวลาทุกข์ยากเช่นนี้”
สร็อกยิ้ม นักรบวัยกลางคนผู้มีริ้วรอยบนใบหน้าจากการกรำศึก ผมสีน้ำตาลแดง สันขากรรไกรแข็งแรง และไม่มีเครา เขาเป็นชายชาตรี ที่ไม่เพียงแต่เป็นลอร์ดเท่านั้น แต่ยังเป็นนักรบที่แท้จริงด้วย
“เพื่อพระบิดาของท่าน ข้ายินดีเดินเข้ากองไฟ” เขาทูล “ไม่ต้องขอบใจข้า ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าสามารถตอบแทนพระบิดาของท่านได้ โดยการได้ถวายรับใช้แก่ธิดาของพระองค์ นอกจากนี้ยังเป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่ให้ท่านเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ดังนั้นการที่ข้าจงรักภักดีต่อท่าน ก็เหมือนกับจงรักภักดีต่อราชาแม็คกิล”
คอล์คและบรอมเดินมาเดินตามมาใกล้เจ้าหญิงเกว็น และที่ด้านหลังพวกเขาเป็นกองทหารที่มีเสียงดังจากเดือยรองเท้านับพันคู่ เสียงดาบกระทบกับฝักดาบ เสียงโล่กระทบกับชุดเกราะ เป็นเสียงเซ็งแซ่ผสมปนเปกันที่กำลังเคลื่อนที่มุ่งหน้าไปทางเหนือเลาะเลียบไปตามขอบเหวของหุบเขาใหญ่
“ฝ่าบาท” คอล์คทูล “ข้ารู้สึกผิด เราไม่ควรปล่อยให้ธอร์ เจ้าชายรีซ และคนอื่น ๆ ไปที่จักรวรรดิตามลำพัง ควรจะมีคนอาสาไปกับพวกเขามากกว่านั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา มันเป็นความผิดของข้าเอง”
“นั่นเป็นการเดินทางที่พวกเขาได้เลือก” เจ้าหญิงเกว็นตรัส “เป็นการเดินทางแห่งเกียรติยศ ใครก็ตามที่ถูกกำหนดให้ไป ก็ต้องไป การรู้สึกผิดไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขานำดาบกลับมาไม่ทันเวลา?” สร็อกทูลถาม “คงไม่นานนักหรอกก่อนที่กองทัพของแอนโดรนิคัสจะมาถึงประตูเมืองของเรา”
“เช่นนั้นเราก็ควรยืนหยัดสู้” เจ้าหญิงเกว็นตรัสด้วยความมั่นพระทัย ทรงเปล่งน้ำเสียงแสดงความมั่นพระทัยมากที่สุดเท่าที่จะทรงทำได้ ทรงหวังว่าจะช่วยให้คนอื่นผ่อนคลาย พระนางทรงสังเกตเห็นแม่ทัพคนอื่น ๆ หันมามอง
“เราจะสู้จนถึงที่สุด” พระนางตรัสต่อ “จะไม่มีการถอยหนี หรือยอมแพ้”
เจ้าหญิงทรงรู้ว่าบรรดาแม่ทัพต่างประทับใจ พระนางเองก็ทรงประทับใจกับพระสุรเสียงของพระนางเอง ความเข้มแข็งปะทุขึ้นในพระวรกาย จนพระนางเองก็ทรงประหลาดพระทัย มันเป็นความเข้มแข็งของพระบิดา ของราชาแม็คกิลตลอดเจ็ดรัชสมัย
เมื่อพวกเขาเดินไปตามทางที่โค้งหักศอกไปทางซ้าย เจ้าหญิงเกว็นทรงเลี้ยวไปตามทาง แล้วก็ต้องชะงักนิ่ง ลืมหายพระทัยกับภาพที่ทรงเห็น
ซิเลเซีย
เจ้าหญิงเกว็นทรงจำได้ว่าพระบิดาเคยพาพระนางมาที่นี่ เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ เป็นสถานที่ที่อยู่ในความฝันของพระนางมานับตั้งแต่นั้น เมืองที่ดูราวกับมีเวทมนต์ ตอนนี้พระนางได้มองมันอีกครั้งในฐานะผู้ใหญ่ มันก็ยังคงทำให้ลืมหายพระทัยได้อยู่ดี
ซิเลเซียเป็นเมืองที่พิเศษที่สุดที่เจ้าหญิงเกว็นเคยทอดพระเนตร อาคารบ้านเรือน ป้อมปราการ ก้อนหินทุกก้อน ทุกสิ่งล้วนสร้างจากหินโบราณสีแดงเป็นประกาย เมืองซิเลเซียด้านบน อยู่สูง ตั้งฉากกับขอบฟ้า เต็มไปด้วยป้อมปราการและยอดแหลมของหอคอย สร้างอยู่บนแผ่นดินใหญ่ ขณะที่ตัวเมืองด้านล่างสร้างลงไปตามด้านข้างของหุบเขาใหญ่ หมอกในหุบเขาม้วนตัวลอยผ่านมาและผ่านไป โอบล้อมเมืองไว้ ทำให้เป็นประกายสีแดงระยิบระยับอยู่ในแสง และยิ่งทำให้มันดูเหมือนสร้างอยู่บนก้อนเมฆ
ป้อมปราการสูงร้อยฟุต เสียดอยู่บนเชิงเทิน มีแนวกำแพงเหยียดยาวไม่สิ้นสุดอยู่ด้านหลัง เมืองนี้คือป้อมปราการ แม้กองทัพใดจะฝ่ากำแพงเมืองเข้ามาได้ มันก็ยังคงต้องลงไปยังครึ่งล่างของเมือง ตรงลงไปตามหน้าผา และต่อสู้บนขอบเหวของหุบเขาใหญ่ เป็นศึกที่กองทัพผู้รุกรานไม่อยากจะเริ่ม นั่นจึงสาเหตุที่เมืองนี้ยืนหยัดมาได้นับพันปี
คนที่ติดตามมาต่างหยุดและอ้าปากค้าง เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้สึกว่าพวกเขารู้สึกเกรงขามด้วย
เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นมาเป็นครั้งแรก นี่คือสถานที่ที่พวกเขาจะได้อยู่ห่างไกลจากเงื้อมพระหัตถ์ของราชากาเร็ธ เป็นสถานที่ที่พวกเขาจะปกป้อง ที่ซึ่งพระนางจะได้ปกครอง และอาจจะ...แค่อาจจะ...ที่อาณาจักรแม็คกิลจะได้ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง
สร็อกยืนนิ่ง ยกมือขึ้นเท้าสะโพก ซึมซับภาพตรงหน้าราวกับเพิ่งเห็นมันเป็นครั้งแรก ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจ
“ขอต้อนรับสู่ซิเลเซีย”
บทที่ หก
ธอร์ลืมตาตื่นเมื่อรุ่งสาง มาเห็นคลื่นม้วนตัวเป็นระลอก ยกตัวขึ้นสูงแล้วหดกลับลงเป็นแนวยอดคลื่นขนาดใหญ่ในมหาสมุทร โอบล้อมด้วยแสงแดดอ่อนของอาทิตย์ดวงแรก ท้องน้ำสีเหลืองของทะเลทาร์ทูเวียนเป็นประกายอยู่ในหมอกยามเช้า เรือโยกตัวอยู่ในกระแสน้ำอย่างเงียบ ๆ มีเพียงเสียงคลื่นซัดกระแทกลำเรือเท่านั้น
ธอร์ลุกขึ้นนั่งแล้วมองดูรอบ ๆ ดวงตาของเขายังหรี่ปรือด้วยความเหนื่อยอ่อน ที่จริงแล้วเขาไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้าเท่านี้มาก่อนเลย พวกเขาแล่นเรือมาหลายวันแล้ว และทุกสิ่งที่อีกฟากโลกนี้ช่างแตกต่างไป อากาศหนาหนักด้วยความชื้น อุณหภูมิอุ่นกว่ามาก มันเหมือนกับหายใจเอาไอน้ำเข้าไป ทำให้เขารู้สึกเฉื่อยชา แขนขาหนักอึ้ง เขารู้สึกเหมือนฤดูร้อนมาถึงแล้ว
ธอร์มองดูรอบ ๆ และเห็นว่าเพื่อนทุกคนซึ่งปกติจะตื่นก่อนฟ้าสาง ยังนอนขดอยู่บนดาดฟ้าเรือ แม้แต่โครห์นซึ่งมักจะตื่นอยู่เสมอ ก็นอนหลับอยู่ข้างเขา อากาศเขตร้อนมีผลกับทุกคน ไม่มีใครสนใจจะบังคับพวงมาลัยเรืออีกแล้ว พวกเขาเลิกทำเมื่อหลายวันมาแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไร ใบเรือของพวกเขากางใบรับลมตะวันตกที่ช่วยพัดส่งอยู่ตลอด และกระแสน้ำวิเศษของมหาสมุทรแห่งนี้ก็ดันเรือของพวกเขาไปทิศทางเดียวเสมอ มันเหมือนกับพวกเขาถูกดึงไปยังจุดหมายหนึ่ง แม้พวกเขาจะพยายามหลายครั้งที่จะบังคับหรือเปลี่ยนเส้นทาง แต่มันก็เปล่าประโยชน์ ทุกคนยินยอมให้ทะเลทาร์ทูเวียนพาพวกเขาไป
ธอร์ใคร่ครวญว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้ทางไปจักรวรรดิอยู่ดี เขาคิดว่าตราบเท่าที่กระแสน้ำพาพวกเขาไปยังพื้นดินได้ นั่นก็ดีพอแล้ว
โครห์นลุกขึ้น ร้องคราง แล้วเอนมาเลียหน้าธอร์ ธอร์ล้วงเข้าไปในถุงที่เกือบว่างเปล่า แล้วหยิบเนื้อตากแห้งชิ้นสุดท้ายให้โครห์น แต่เขากลับต้องประหลาดใจที่มันไม่รีบงับไปจากมือเขาเหมือนเช่นเคย มันกลับมองเฉย แล้วมองดูในถุงที่ว่างเปล่า ก่อนจะหันกลับมามองธอร์อย่างมีความหมาย มันลังเลที่จะกินอาหาร ซึ่งธอร์รู้ว่าโครห์นไม่อยากเอาอาหารชิ้นสุดท้ายไปจากเขา
ธอร์ประทับใจกับอาการของมัน แต่เขายืนกรานโดยยัดเนื้อเข้าปากเพื่อนรักของเขา ธอร์รู้ว่าพวกเขาจะไม่มีอาหารในไม่ช้า และภาวนาให้ไปถึงชายฝั่ง เขาไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางอีกนานเพียงใด ถ้ามันกินเวลาหลายเดือนเล่า? พวกเขาจะกินอะไรกัน?
ดวงอาทิตย์เคลื่อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แสงแดดสาดแสงแรงกล้าเร็วเกินไป ธอร์ลุกขึ้นยืนเมื่อสายหมอกเริ่มจางหายไปจากผิวน้ำ จากนั้นจึงเดินไปที่หัวเรือ
ธอร์ยืนอยู่ตรงนั้น และมองออกไป ดาดฟ้าเรือขยับโยกเบา ๆ อยู่ใต้เท้าเขาขณะมองดูสายหมอกสลาย ธอร์กระพริบตา พลางสงสัยว่าเขากำลังเห็นบางอย่างอยู่หรือไม่ เมื่อปรากฏโครงร่างของแผ่นดินอยู่ไกล ๆ ที่เส้นขอบฟ้า ชีพจรเขาเต้นเร็วขึ้น มันคือแผ่นดิน แผ่นดินจริง ๆ!
แผ่นดินที่ปรากฏอยู่นั้นมีลักษณะที่ประหลาดมาก เหมือนแหลมแคบและยาวสองด้านโผล่ขึ้นมาในทะเล มองคล้ายปลายคราดสองด้าน และเมื่อหมอกสลายไปแล้ว ธอร์มองดูทางซ้ายและขวาก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นแผ่นดินทอดยาวไปสองด้าน ๆ ละประมาณห้าสิบหลา พวกเขากำลังถูกดูดเข้าไปตรงกลางช่องปากน้ำ
ธอร์ผิวปาก เพื่อนทหารยุวชนของเขาตื่นขึ้น ทุกคนตะกายลุกขึ้นยืนแล้วรีบไปหาธอร์ ยืนออกันอยู่ที่หัวเรือ มองออกไปข้างหน้า
พวกเขายืนนิ่ง ลืมหายใจกับภาพที่เห็น เป็นชายฝั่งที่แปลกตาที่สุดที่เขาเคยเห็น มีป่าทึบอยู่หนาแน่น ต้นไม้แทงยอดสูงตลอดแนวชายฝั่ง รกแน่นจนยากที่จะมองผ่านไปได้ ธอร์มองเห็นเฟิร์นต้นใหญ่ สูงสามสิบฟุต ชะโงกอยู่เหนือผืนน้ำ ต้นไม้สีเหลืองและม่วงดูสูงเสียดฟ้า มีเสียงดังเซ็งแซ่ของสัตว์ นก แมลงและตัวอะไรที่เขาไม่รู้ ส่งเสียงคำราม ร้องและร้องเพลง