ในที่สุด อะเบอร์ธอลก็ก้าวมาด้านหน้า เสียงไม้เท้าของเขาสะท้อนก้องพื้นหิน เขากระแอม
“ฝ่าบาท” เขาเริ่มทูลด้วยเสียงชรา “พวกเรากำลังยืนอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสับสนในราชสำนัก ข้าไม่รู้ว่าพระองค์ทรงทราบข่าวใดแล้วบ้าง ทั้งเรื่องที่โล่พลังไม่ทำงาน เจ้าหญิงเกว็นโดลีนทรงไปจากราชสำนัก พร้อมด้สนคอล์ค บรอม เจ้าชายเคนดริค แอ็ทมี กองรบเงิน กองทหารยุวชน และครึ่งหนึ่งของกองทัพ และยังมีข้าราชบริพารอีกครึ่งหนึ่งในราชสำนัก คนที่ยังเหลืออยู่จึงมาหาพระองค์เพื่อขอคำแนะนำ และอยากรู้ว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไป ประชาชนต้องการคำตอบ ฝ่าบาท”
“นอกจากนี้” สมาชิกสภาอีกคนทูลขึ้น ราชากาเร็ธทรงจำเขาได้ราง ๆ “มีข่าวแพร่มาว่าหุบเขาใหญ่ถูกตีแตกแล้ว ข่าวลือบอกว่าแอนโดรนิคัสได้บุกดินแดนแม็คคลาวด์ที่อีกฝั่งของอาณาจักรวงแหวนด้วยกองทหารนับล้าน”
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วห้อง นักรบผู้กล้าหาญหลายสิบคนกระซิบกระซาบกัน ทั้งห้องเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และความตื่นตระหนกแพร่กระจายเหมือนไฟป่า
“มันไม่น่าจะเป็นความจริง!” ทหารคนหนึ่งร้องอุทานขึ้น
“มันเป็นความจริง!” สมาชิกสภาคนนั้นยืนยัน
“เช่นนั้นก็หมดหวังแล้ว!” ทหารอีกคนตะโกนขึ้น “หากแม็คคลาวด์ถูกยึดครอง จักรวรรดิก็จะมาที่ราชสำนักนี้เป็นที่ต่อไป ไม่มีทางที่พวกเราจะต้านทานได้”
“เราจะต้องหารือกันเรื่องการยอมจำนน ฝ่าบาท” อะเบอร์ธอลทูลราชากาเร็ธ
“ยอมแพ้หรือ!?” ชายอีกคนตะโกน “พวกเราไม่มีทางยอมแพ้!”
“หากเราไม่ยอม” ทหารอีกคนตะโกน “พวกเราจะถูกบดขยี้ เราจะสามารถรับมือกับกองทัพนับล้านได้อย่างไร?”
เกิดเสียงพึมพำด้วยความโกรธแค้นดังไปทั่วห้อง ทหารและสมาชิกสภาโต้เถียงกัน เกิดชุลมุนไปทั่ว
ผู้นำสภากระแทกไม้เท้าเหล็กของเขากับพื้นหิน แล้วตะโกนขึ้น
“เป็นระเบียบหน่อย!”
ภายในห้องค่อยเงียบเสียงลงทีละน้อย ทุกคนหันมามองที่เขา
“เรื่องเหล่านี้เป็นการตัดสินพระทัยของราชา ไม่ใช่พวกเรา” สมาชิกสภาคนหนึ่งกล่าวขึ้น “ราชากาเร็ธทรงเป็นราชาโดยชอบธรรม และไม่ใช่พวกเราที่จะต้องมาหารือเรื่องเงื่อนไขการยอมจำนน...หรือจะยอมจำนนหรือไม่”
ทุกคนต่างหันไปหาราชากาเร็ธ
“ฝ่าบาท” อะเบอร์ธอลทูล น้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย “พระองค์จะเสนอให้พวกเราจัดการอย่างไรกับกองทัพของจักรวรรดิ?”
ภายในท้องพระโรงเงียบสนิท
ราชากาเร็ธประทับอยู่เช่นนั้น ทอดพระเนตรดูประชาชนของพระองค์ ทรงอยากจะตอบ แต่มันยิ่งยากมากขึ้นที่จะทำสมองให้ปลอดโปร่ง พระองค์ทรงได้ยินพระสุรเสียงของพระบิดาในพระเศียร ทรงตะโกนใส่พระองค์ เหมือนเช่นครั้งที่ยังทรงพระเยาว์ มันทำให้พระองค์ทรงคลั่ง และเสียงนั้นก็ไม่ยอมหายไป
ราชากาเร็ธทรงจับเท้าพระกรของบัลลังก์แล้วครูดมันครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงพระนขาข่วนเท้าพระกรเป็นเสียงเดียวภายในห้อง
สมาชิกสภาต่างมองดูกันด้วยความกังวล
“ฝ่าบาท” สมาชิกสภาอีกคนทูลขึ้นทันที “หากพระองค์เลือกที่จะไม่ยอมจำนน เช่นนั้นเราก็จะต้องป้องกันราชสำนักให้แข็งแกร่งทันที เราจะต้องระวังทางเข้าทุกแห่ง ถนนทุกสาย ประตูทุกบาน เราจะต้องระดมพลทั้งหมดเพื่อเตรียมการป้องกัน พวกเราจะต้องเตรียมการโจมตี การปันส่วนอาหาร การคุ้มครองประชาชนของเรา มีเรื่องต้องทำอีกมาก ได้โปรด ฝ่าบาท ขอทรงมีคำสั่ง บอกพวกเราว่าควรจะทำอย่างไร”
ทั้งห้องเงียบสนิทอีกครั้ง สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ราชากาเร็ธ
ในที่สุด พระองค์ก็เงยพระพักตร์ขึ้นและทอดพระเนตร
“พวกเราจะไม่ต่อสู้กับจักรวรรดิ” ราชาทรงประกาศ “และจะไม่ยอมจำนน”
ทุกคนต่างมองกันด้วยความสับสน
“เช่นนั้นเราควรจะทำอย่างไร ฝ่าบาท?” อะเบอร์ธอลทูลถาม
ราชากาเร็ธทรงกระแอม
“เราจะสังหารเกว็นโดลีน!” พระองค์ทรงประกาศ “นั่นคือเรื่องที่สำคัญในตอนนี้”
เกิดความเงียบด้วยความตื่นตกใจ
“เจ้าหญิงเกว็นโดลีนหรือ?” สมาชิกสภาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เกิดเสียงพึมพำไปทั่วอีกครั้ง
“เราจะส่งกองกำลังทั้งหมดไปตามล่านาง สังหารนางและคนที่ติดตามไป ก่อนที่พวกมันจะไปถึงซิเลเซีย” ราชากาเร็ธทรงประกาศ
“แต่ฝ่าบาท เรื่องนี้มันจะช่วยเราได้อย่างไร?” สมาชิกสภาคนหนึ่งร้องถามขึ้น “หากเราเสี่ยงอันตรายออกไปโจมตีนาง นั่นจะทำให้กองทัพของเราเป็นเป้า พวกเขาจะถูกทหารจักรวรรดิล้อมและสังหาร”
“และมันยังทำให้ราชสำนักเปิดโล่งรับการโจมตี!” อีกคนร้องขึ้น “หากเราจะไม่ยอมจำนน พวกเราก็จะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ราชสำนักในทันที!”
กลุ่มคนโห่ร้องขึ้นอย่างเห็นด้วย
ราชากาเร็ธทรงหันไปทอดพระเนตรสมาชิกสภาด้วยสายพระเนตรเย็นชา
“เราจะใช้ทุกคนที่จำเป็นเพื่อสังหารน้องสาวของข้า!” พระองค์ทรงตรัสอย่างโหดเหี้ยม “เราจะไม่เหลือไว้สักคนเดียว!”
ในท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบเมื่อสมาชิกสภาคนหนึ่งผลักเก้าอี้จนครูดไปกับพื้นหิน แล้วยืนขึ้น
“ข้าจะไม่ทนเห็นราชสำนักถูกทำลายเพื่อความต้องการส่วนพระองค์ ข้าคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ทำตามพระองค์!”
“ข้าด้วย!” คนครึ่งหนึ่งในห้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ราชากาเร็ธทรงรุ่มร้อนด้วยความกริ้ว และกำลังจะประทับยืนเมื่อจู่ ๆ ประตูก็ถูกกระแทกเปิดออก แม่ทัพของส่วนที่เหลืออยู่ของกองทัพพรวดพราดเข้ามา สายตาทุกคู่หันไปดูเขา เขาลากแขนชายคนหนึ่งเข้ามา ท่าทางเป็นนักเลงหัวไม้ผมเผ้ามันเยิ้ม หนวดเคราไม่ได้โกน ถูกมัดที่ข้อมือ แม่ทัพลากเขามาจนถึงกลางท้องพระโรง และหยุดลงตรงหน้าราชา
“ฝ่าบาท” แม่ทัพทูลอย่างเย็นชา “นอกจากพวกหัวขโมยหกคนที่ถูกประหารไปแล้วจากข้อหาขโมยดาบแห่งโชคชะตา ชายคนนี้คือคนที่เจ็ด คนที่หนีไป เขาได้เล่าเรื่องราวที่มหัศจรรย์ที่สุดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
“พูด!” แม่ทัพกระตุ้น พลางเขย่าตัวหัวขโมย
เจ้าหัวขโมยมองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวล ท่าทางไม่มั่นใจ ผมเป็นมันเยิ้มระอยู่ข้างแก้ม ในที่สุดมันก็ตะโกนออกมา
“พวกเราถูกสั่งให้ขโมยดาบนั่น!”
ภายในท้องพระโรงเกิดเสียงพึมพำด้วยความขุ่นเคือง
“พวกเรามีกันสิบเก้าคน!” หัวขโมยเล่าต่อ “สิบสองคนเป็นผู้นำดาบไป พลางตัวไปในความมืด ข้ามสะพานหุบเขาใหญ่ไปยังแดนเถื่อน พวกเขาซ่อนมันไว้ในเกวียน และคุ้มกันมันข้ามสะพานไป ทหารที่เฝ้ายามอยู่ที่สะพานจึงไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ด้านใน คนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนถูกสั่งให้รออยู่ที่นี่หลังจากการขโมยดาบ มีคนบอกว่าเราจะถูกคุมขังเป็นการแสดง แล้วเราจะถูกปล่อยตัว แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เพื่อนของข้ากลับถูกประหารทั้งหมด ข้าเองก็คงจะโดนด้วยถ้าข้าไม่หนีไปก่อน”
เกิดความปั่นป่วนเซ็งแซ่ยาวนานขึ้น
“แล้วพวกนั้นเอาดาบไปไว้ที่ไหน?” แม่ทัพรุกถาม
“ข้าไม่รู้ ที่ไหนสักแห่งลึกเข้าไปในจักรวรรดิ”
“แล้วใครเป็นคนสั่งการเรื่องนี้?”
“พระองค์!” หัวขโมยบอก หันไปหาและชี้นิ้วผอม ๆ ไปที่ราชากาเร็ธ “ราชาของพวกเรา! พระองค์ทรงสั่งให้พวกเราทำ!”
ภายในท้องพระโรงมีเสียงเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก มีเสียงตะโกนดังขึ้น จนในที่สุดสมาชิกสภาต้องกระแทกไม้เท้าเหล็กของเขาหลายครั้งและตะโกนสั่งให้เงียบ
ทั้งห้องเงียบลงแต่เพียงเล็กน้อย
ราชากาเร็ธทรงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและความกริ้ว ทรงประทับยืนขึ้นจากบัลลังก์ช้า ๆ ภายในห้องเงียบเสียงลง เมื่อสายตาทุกคู่จับจ้องที่พระองค์
พระองค์ทรงก้าวลงมาตามบันไดงาช้างทีละก้าว เสียงพระบาทดังก้อง ความนิ่งเงียบหนาหนักจนแทบจะสามารถใช้มีดฟันได้
ราชาเสด็จไปจนถึงเจ้าหัวขโมยในที่สุด พระองค์ทรงจ้องมองมันด้วยความเย็นชา ทรงอยู่ห่างเพียงหนึ่งฟุต ชายหัวขโมยดิ้นรนอยู่ในเงื้อมือของแม่ทัพ มองไปทางอื่นที่ไม่ใช่ราชา
“หัวขโมยและคนโกหกต้องได้รับการจัดการด้วยวิธีเดียวเท่านั้นในอาณาจักรของข้า” ราชากาเร็ธตรัสเสียงเบา
ทันใดนั้นพระองค์ทรงชักมีดสั้นออกมาจากบั้นพระองค์แล้วแทงเข้าที่หัวใจของหัวขโมย
ชายหัวขโมยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาเหลือกถลน ก่อนจะทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น สิ้นใจตาย
แม่ทัพมองดูราชากาเร็ธด้วยใบหน้าถมึงทึง
“พระองค์ทรงสังหารพยานที่ให้การกล่าวหาพระองค์” แม่ทัพทูล “ทรงไม่รู้หรือว่ามันจะยิ่งทำให้พระองค์ดูมีความผิด?”
“พยานอะไรกัน?” ราชากาเร็ธตรัสถามพลางแย้มสรวล “คนตายพูดไม่ได้หรอก”
แม่ทัพหน้าแดงก่ำ
“เพื่อไม่ให้พระองค์ทรงลืม ข้าคือแม่ทัพแห่งครึ่งหนึ่งของกองทัพ ข้าจะไม่ยอมถูกปั่นหัวเป็นคนโง่ จากการกระทำของพระองค์ ข้าสันนิษฐานได้เพียงว่าพระองค์ทรงมีความผิดตามที่เขากล่าวหา และเช่นนั้นข้าและกองทัพของข้าไม่อาจรับใช้พระองค์ได้อีกต่อไป ที่จริงแล้วข้าจะนำพระองค์ไปคุมขังในข้อหาทรยศต่ออาณาจักรวงแหวน”
แม่ทัพพยักหน้าสั่งทหารของเขา ทหารราวสิบคนชักดาบออกมาพร้อมกันและก้าวเข้ามาเพื่อจับกุมราชากาเร็ธ
ลอร์ดคัลตินก้าวออกมาพร้อมด้วยกำลังคนมากกว่าสองเท่า ที่ต่างชักดาบและเดินไปยืนด้านหลังราชากาเร็ธ
พวกเขายืนยิ่ง เผชิญหน้ากับทหารของแม่ทัพ โดยมีราชากาเร็ธประทับอยู่ตรงกลาง
ราชากาเร็ธทรงแย้มสรวลให้แม่ทัพอย่างผู้มีชัย เขามีคนน้อยกว่ากองกำลังพิเศษของพระองค์ และเขารู้ตัวดี
“ข้าจะไม่ถูกใครจับกุมหรอก” พระองค์ทรงหยัน “ไม่ใช่ด้วยน้ำมือของเจ้าแน่ พาคนของเจ้าไปจากราชสำนักของข้าเสีย...หรือไม่อย่างนั้นก็พบกับความเกรี้ยวกราดของกองกำลังของข้า”
ในที่สุดแม่ทัพก็หันหลังและส่งสัญญาณให้ทหารของเขา ทุกคนยอมล่าถอยไปพร้อมเพรียงกัน หลังจากตึงเครียดกันอยู่หลายวินาที พวกเขาเดินถอยหลังออกไปจากท้องพระโรง อย่างระแวดระวัง โดยถือดาบไว้ในมือ
“นับตั้งแต่วันนี้ไป” แม่ทัพตะโกนบอก “ขอให้เป็นที่ประจักษ์ว่าพวกเราไม่ได้รับใช้พระองค์อีก! พระองค์จะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของจักรวรรดิด้วยพระองค์เอง ข้าหวังว่าพวกนั้นจะดูแลพระองค์อย่างดี ดีกว่าที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระบิดา!”
ทหารทุกคนออกไปจากท้องพระโรงพร้อมด้วยเสียงเกราะกระทบกัน
บรรดาสมาชิกสภา มหาดเล็กและขุนนางหลายสิบคนที่ยังอยู่ ต่างยืนนิ่งและกระซิบกระซาบกัน
“ออกไป!” ราชากาเร็ธทรงตะโกน “พวกเจ้าทุกคน!”
คนที่เหลืออยู่ในท้องพระโรงต่างรีบออกไป รวมทั้งกองรบของพระองค์