สัตว์ร้ายเหวี่ยงแขนอีกข้าง ที่ยื่นออกมาจากส่วนไหนสักแห่งบนร่างกายของมัน ฟาดเข้าใส่ซี่โครงธอร์อย่างแรง ทำให้เขาลอยไปกระแทกกับแนวต้นไม้ สัตว์ร้ายยื่นก้ามอีกอันมาหาธอร์ ซึ่งเขารู้แล้วว่าเขากำลังลำบาก
เอลเด็น โอคอนเนอร์ และคู่แฝดรีบวิ่งมา ตอนที่เจ้าแมลงยักษ์ยื่นก้ามมาหาธอร์ โอคอนเนอร์ก็ยิงลูกธนูโดนปากของมัน เสียบทะลุไปถึงหลังคอ ทำให้มันร้องเสียงดัง เอลเด็นใช้ขวานสองมือฟันใส่หลังมัน ขณะที่คอนเวนและคอนวอลขว้างหอกใส่มัน ปักเข้าที่ลำคอมันคนละข้าง เจ้าชายรีซทรงลุกขึ้นยืนแล้วแทงพระแสงดาบเข้าที่ท้องของมัน ธอร์กระโจนขึ้นแล้วเหวี่ยงดาบใส่แขนอีกข้างของมัน ฟันมันขาด โครห์นเข้ามาช่วยด้วย มันเผ่นทะยานขึ้นบนอากาศแล้วฝังเขี้ยวลงที่ลำคอของสัตว์ร้าย
แมลงยักษ์ร้องเสียงดังครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาทำร้ายมันได้มากกว่าที่ธอร์คิดว่าจะเป็นไปได้ แต่ไม่น่าเชื่อที่มันยังยืนอยู่ได้ ปีกของมันยังคงขยับสั่น เจ้าสัตว์ร้ายจะไม่ตาย
ทุกคนต่างมองดูด้วยความพรั่นพรึง แมลงยักษ์ดึงหอก ดาบและขวานออกทีละอัน เมื่อมันทำเช่นนั้นบาดแผลทั้งหมดก็สมานเหมือนเดิมต่อหน้าต่อตาทุกคน
สัตว์ร้ายตัวนี้เอาชนะไม่ได้
มันเอนตัวและส่งเสียงคำราม เพื่อนของธอร์มองดูด้วยความตกใจ พวกเขาทำทุกอย่างแล้ว แต่ยังทำอันตรายมันไม่ได้
สัตว์ร้ายเตรียมพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง พร้อมกับฟันและก้ามคมราวกับใบมีด ธอร์รู้ว่าไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำอะไรได้อีก ทุกคนกำลังจะตาย
“หลีกไป!” จู่ ๆ ก็มีเสียงร้องขึ้น
เสียงนั้นมาจากด้านหลังของธอร์ ฟังดูยังเด็ก ธอร์หันไปเห็นเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่ง อายุราวสิบเอ็ด วิ่งมาจากด้านหลังของพวกเขา ถือสิ่งที่ดูเหมือนเหยือกใส่น้ำมาด้วย ธอร์ก้มหลบ เด็กชายสาดน้ำใส่ทั่วหน้าของเจ้าแมลงยักษ์
สัตว์ร้ายถอยหนีและร้องเสียงแหลม มีควันลอยขึ้นจากหน้ามัน มันยกก้ามขึ้นทึ้งแก้ม ตา และหัวของมัน แมลงยักษ์ส่งเสียงร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ดังจนธอร์ต้องยกมือขึ้นอุดหูไว้
ในที่สุดมันก็หันหลังแล้ววิ่งหนีไป กลับเข้าไปในป่า หายไปหลังใบไม้รกทึบ
พวกเขาหันมามองเด็กชายด้วยความรู้สึกประหลาดใจและขอบคุณ เด็กชายแต่งตัวมอซอ มีผมยาวสีน้ำตาล มีดวงตาสีเขียวดูฉลาดเฉลียว เนื้อตัวเปื้อนดินมอมแมม ดูเหมือนเขาจะอาศัยอยู่ในป่านี้ เมื่อประเมินจากเท้าเปล่าและมือสกปรกของเขา
ธอร์ไม่เคยซาบซึ้งใจใครแบบนี้มาก่อน
“อาวุธทำอันตรายกาธอร์บีสท์ไม่ได้หรอก” เด็กชายบอกพลางกรอกตา “พวกท่านโชคดีที่ข้าได้ยินเสียงร้องแล้วก็อยู่ไม่ไกล ไม่อย่างนั้น เจ้าคงตายกันไปแล้ว พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าไม่ควรจะเผชิญหน้ากับกาธอร์บีสท์?”
ธอร์มองดูเพื่อน ๆ ทุกคนพูดไม่ออก
“เราไม่ได้เผชิญหน้ากับมัน” เอลเด็นบอก “มันต่างหากที่เผชิญหน้ากับเรา”
“พวกมันไม่เผชิญหน้ากับพวกเจ้า” เด็กชายเอ่ย “เว้นแต่พวกเจ้าบุกรุกเข้าไปในอาณาเขตของมัน”
“แล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” เจ้าชายรีซตรัส
“เอ่อ ก็อย่าจ้องตาพวกมัน” เด็กชายตอบ “และถ้ามันโจมตี ให้ก้มหน้าไว้จนกว่ามันจะไม่สนใจพวกท่าน และที่สำคัญที่สุด อย่าพยายามวิ่งหนีมัน”
ธอร์ก้าวมาข้างหน้าแล้ววางมือลงบนบ่าของเด็กชาย
“เจ้าช่วยชีวิตพวกเราไว้” เขาบอก “พวกเราเป็นหนี้เจ้าอย่างมากเลย”
เด็กชายยักไหล่
“ท่านดูไม่เหมือนทหารจักรวรรดิ” เขาบอก “ท่านดูเหมือนมาจากส่วนอื่นของโลก ทำไมข้าจึงจะไม่ช่วยล่ะ? ดูเหมือนท่านจะมีสัญลักษณ์ของกลุ่มที่มากับเรือเมื่อหลายวันก่อน”
ธอร์และคนอื่น ๆ มองหน้ากันอย่างนึกออก แล้วหันไปหาเด็กชาย
“เจ้ารู้ไหมว่าพวกนั้นไปไหน?” ธอร์ถาม
เด็กชายยักไหล่
“พวกนั้นมากันกลุ่มใหญ่ แบกอาวุธไปด้วย ดูเหมือนมันจะหนักมาก พวกเขาทุกคนต้องช่วยกันแบกมัน ข้าตามรอยไปหลายวัน พวกนั้นตามรอยง่าย พวกเขาไปกันได้ช้า แถมยังสะเพร่าและไม่ระวังเลย ข้ารู้ว่าพวกนั้นไปที่ไหน ข้าก็เลยไม่ได้ตามมันมากนักเมื่อพ้นหมู่บ้านไป ข้าพาพวกท่านไปที่นั่นได้ แล้วจะชี้บอกทางให้ ถ้าพวกท่านต้องการ แต่ยังไม่ใช่วันนี้”
คนอื่นมองกันอย่างประหลาดใจ
“ทำไมล่ะ?” ธอร์ถาม
“ราตรีกำลังมา แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมง พวกท่านอยู่ข้างนอกไม่ได้ตอนกลางคืน”
“แต่ทำไมกันล่ะ?” เจ้าชายรีซตรัสถาม
เด็กชายมองดูพระองค์ราวกับว่าทรงเสียสติไปแล้ว
“พวกอีธาบั๊กไง” เขาบอก
ธอร์ก้าวมาข้างหน้า มองดูเด็กชาย เขาชอบเด็กคนนี้ทันที เด็กชายดูฉลาดเฉลียว กระตือรือร้น กล้าหาญและมีน้ำใจ
“เจ้าพอจะรู้จักที่ที่เราจะสามารถพักได้ในคืนนี้ไหม?”
เด็กชายมองมาที่ธอร์ แล้วยักไหล่ ท่าทางไม่แน่ใจ เขายืนขยุกขยิก
“ข้าไม่คิดว่าข้าควรจะทำ” เขาบอก “ตาจะต้องโกรธแน่”
โครห์นโผล่มาจากด้านหลังธอร์ แล้วเดินไปหาเด็กชาย เมื่อเขาเห็นมัน ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความยินดี
“ว้าว!” เด็กชายร้องออกมา
โครห์นเลียหน้าเด็กชายหลายครั้ง เขาหัวเราะคิกคักอย่างพอใจ แล้วยื่นมือไปลูบหัวมัน เขาคุกเข่าลง แล้ววางหอก ก่อนจะกอดโครห์นไว้ ดูเหมือนมันจะกอดเขาตอบ เด็กชายหัวเราะไม่หยุด
“มันชื่ออะไรหรือ?” เด็กชายถาม “มันเป็นตัวอะไร?”
“มันชื่อโครห์น” ธอร์บอก พลางยิ้มให้ “มันเป็นเสือดาวขาวที่หายาก มาจากอีกฟากของมหาสมุทร มาจากอาณาจักรวงแหวน ที่ซึ่งพวกเราจากมา มันชอบเจ้านะ”
เด็กชายจูบมันหลายครั้ง ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืน แล้วมองไปที่ธอร์
“เอ่อ” เด็กชายเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “ข้าคิดว่าข้าน่าจะพาพวกท่านไปที่หมู่บ้านของเราได้ หวังว่าตาจะไม่โกรธมากนัก แต่ถ้าตาโกรธ ก็ถือว่าพวกท่านโชคร้ายแล้วกัน ตามข้ามา พวกเราต้องรีบแล้ว มันกำลังจะมืดแล้ว”
เด็กชายหันหลังแล้วนำทางผ่านป่าไป ธอร์และเพื่อน ๆ รีบตามไป เขารู้สึกทึ่งกับความคล่องแคล่วของเด็กชาย และการที่เขารู้จักป่าเป็นอย่างดี ทุกคนแทบจะตามไปไม่ทัน
“มีคนผ่านมาที่นี่เป็นบางครั้ง” เด็กชายเล่า “มหาสมุทรและกระแสน้ำนำพวกเขาตรงเข้ามาในอ่าว บางคนมาจากทะเล กำลังเดินทางไปที่อื่น แต่กลับตัดผ่านมาที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่ค่อยรอดหรอก ถูกตัวอะไรบางอย่างในป่ากิน พวกท่านโชคดีนะ ยังมีอะไรที่เลวร้ายกว่าตัวกาธอร์บีสท์อีกมาก”
ธอร์กลืนน้ำลาย
“เลวร้ายกว่าหรือ? เช่นอะไรล่ะ?”
เด็กชายส่ายหน้า เดินต่อไป
“ท่านไม่อยากรู้หรอก ข้าเคยเห็นอะไรแย่ ๆ มากมายที่นี่”
“เจ้าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?” ธอร์ถามด้วยความอยากรู้
“ตลอดชีวิตของข้า” เด็กชายบอก “ตาของข้าย้ายมาเมื่อตอนข้ายังเด็ก”
“แต่ทำไมถึงเป็นที่นี่ ในป่านี้ล่ะ? มันน่าจะมีที่อื่นที่น่าอยู่มากกว่า”
“ท่านไม่รู้จักจักรวรรดิใช่ไหม?” เด็กชายถาม “ทหารอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันไม่ง่ายหรอกที่จะหลบให้พ้นหูพ้นตาพวกมัน ถ้าพวกมันเจอเรา มันจะจับไปเป็นทาส แต่พวกทหารไม่ค่อยออกมาที่นี่หรอก ไม่ใช่ในป่าลึกแบบนี้”
เมื่อพวกเขาเดินผ่านแนวใบไม้หนา ธอร์ยื่นมือจะไปปัดใบไม้ให้พ้นทาง แต่เด็กชายหันมาแล้วผลักมือธอร์ พลางร้องตะโกน
“อย่าจับมัน!”
ทุกคนหยุดชะงัก ธอร์มองดูใบไม้ที่เขาเกือบจะแตะโดน มันเป็นใบไม้ใบใหญ่สีเหลือง แล้วดูไม่มีพิษมีภัย
เด็กชายยื่นไม้ไปแตะที่ปลายใบไม้เบา ๆ ทันใดนั้น ใบไม้ก็หุบห่อรอบกิ่งไม้ด้วยความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ มีเสียงซ่าดังขึ้น เมื่อปลายกิ่งไม้สลายหายไป
ธอร์ตกใจ
“ใบแรนเคิล” เด็กชายบอก “มีพิษ ถ้าท่านโดนมัน ป่านนี้ท่านคงต้องเสียดายมือแล้ว”
ธอร์มองดูใบไม้รอบ ๆ ตัวด้วยความรู้สึกใหม่ เขายินดีที่ทุกคนโชคดีได้มาเจอกับเด็กชายคนนี้
ทุกคนเดินทางต่อไป ธอร์เก็บมือไว้กับตัว คนอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาพยายามระมัดระวังกับทุกย่างก้าว
“เกาะกลุ่มกันไว้ แล้วเดินตามรอยเท้าข้ามาเลยนะ” เด็กชายบอก “อย่าจับอะไร อย่าลองกินผลไม้พวกนั้น และอย่าดมดอกไม้พวกนั้นด้วย เว้นแต่พวกท่านอยากจะสลบไป”
“เฮ้ นั่นอะไร?” โอคอนเนอร์ถาม หันไปดูผลไม้ใหญ่ที่ห้อยอยู่บนกิ่งไม้ ผลยาวและแคบ สีเหลืองเป็นประกาย โอคอนเนอร์ก้าวเข้าไปหา ยื่นมือออกไป
“อย่า!” เด็กชายตะโกน
แต่ช้าเกินไป เมื่อโอคอนเนอร์แตะมัน พื้นดินใต้พวกเขาก็เปิดออก ธอร์รู้สึกว่าตัวเองลื่นไถลลงเนินที่มีโคลนและน้ำไป พวกเขาติดอยู่ในโคลนถล่ม และไม่สามารถหยุดได้
ทุกคนส่งเสียงร้องออกมาขณะที่ไถลไปในโคลน ลงไปหลายร้อยฟุต ตรงลงไปยังความมืดมิดของป่า
บทที่ เจ็ด
อีเร็คนั่งอยู่บนหลังม้า หอบหายใจแรง เตรียมตัวสู้กับศัตรูอีกสองร้อยคนที่อยู่ตรงหน้า เขาต่อสู้อย่างกล้าหาญและสามารถจัดการไปได้หนึ่งร้อยคน แต่ตอนนี้ไหล่ของเขาเริ่มล้า มือเริ่มสั่น ใจเขาพร้อมจะรบเสมอ แต่เขาไม่รู้ว่าร่างกายของเขาจะทนได้อีกนานแค่ไหน ถึงอย่างไรเขาก็จะสู้เต็มที่ เหมือนเช่นที่ทำมาตลอดชีวิต และปล่อยให้โชคชะตาตัดสินชีวิตเขา
อีเร็คส่งเสียงร้องแล้วกระตุ้นม้าตัวที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งเขาแย่งมาจากศัตรูคนหนึ่ง ก่อนจะตะลุยเข้าใส่กองทหารตรงหน้า
พวกมันก็บุกเข้าใส่เช่นกัน และส่งเสียงร้องข่มขวัญเหมือนกับอีเร็ค ในทุ่งแห่งนี้มีโลหิตนองไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครยอมแพ้จนกว่าอีกฝ่ายจะตาย
ขณะที่อีเร็คบุกไปนั้น เขาหยิบมีดขว้างออกมาจากเข็มขัด เล็งและขว้างไปยังศัตรูตรงหน้า มันเข้าเป้าอย่างจัง ปักเข้าที่คอ ทหารคนนั้นยกมือขึ้นกุมลำคอ ปล่อยสายบังเหียนแล้วร่วงลงจากหลังม้า และเป็นไปอย่างที่อีเร็คหวังไว้ มันหล่นลงไปขวางเท้าม้าตัวอื่น ๆ ซึ่งสะดุดและล้มคว่ำไปกับพื้นอีกหลายตัว
อีเร็คถือทวนด้วยมือหนึ่ง อีกมือถือโล่ ลดแผ่นเกราะปิดหน้าลง แล้วพุ่งออกไปเต็มกำลัง เร็วและแรงเท่าที่เขาจะทำได้ กระแทกเข้าใส่ระหว่างตะลุยผ่านไป
อีเร็คตะโกนขณะพุ่งเข้าใส่กลุ่มศัตรู ตลอดหลายปีของการประลองมีประโยชน์กับเขา อีเร็คใช้ทวนได้อย่างเชี่ยวชาญในการจัดการศัตรูไปทีละคน เขาสามารถคว่ำพวกมันลงได้สำเร็จ อีเร็คหมอบต่ำและใช้มืออีกข้างถือโล่กำบังตัวเองไว้ เขารู้สึกถึงห่าลูกธนูที่พุ่งลงมาใส่จากทุกทิศทาง กระทบโล่ และชุดเกราะของเขา เขาถูกฟาดฟันด้วยดาบ ขวาน คทา อาวุธโลหะกระหน่ำเข้าใส่ อีเร็คได้แต่ภาวนาให้ชุดเกราะของเขาทานทนได้ เขายึดทวนไว้แน่น จัดการพวกมันให้ได้มากที่สุดขณะที่ตะลุยฝ่าเข้าไปในกองทัพขนาดใหญ่
อีเร็คไม่ได้ช้าลง หลังจากขี่ม้าไปได้ราวหนึ่งนาที ในที่สุดเขาก็ผ่านไปที่อีกด้าน ออกไปสู่ที่โล่ง เขาขี่ม้าฝ่าตะลุยทะลุกลางกองทหาร สามารถจัดการพวกมันไปได้อีกอย่างน้อยสิบกว่าคน แต่เขาเองก็สะบักสะบอม อีเร็คหอบหายใจแรง ร่างกายปวดร้าวไปหมด เสียงโลหะกระทบกันยังลั่นอยู่ในหู เขารู้สึกราวกับถูกใส่ลงไปในเครื่องบด อีเร็คก้มดูตัวเองก็เห็นว่าเต็มไปด้วยโลหิต โชคดีที่เขาไม่รู้สึกว่ามีบาดแผลใหญ่ ดูเหมือนจะมีเพียงรอยข่วนและรอยบาดเท่านั้น