ไมโคเพิลจ้องมองกลับมาที่พระนางเกว็นด้วยดวงตาเปล่งปลั่งสีแดงที่มีขนาดใหญ่โต เปล่งเสียงทางจมูกอย่างเบาๆ ขยับปีกของเธอและโค้งคอของเธอลงมา ธอร์สัมผัสได้ถึงบางสิ่งเหมือนกับความหึงหวงหรืออาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็น
"ไมโคเพิลมารู้จักกับพระนางเกว็นโดลีน"
ไมโคเพิลหันหัวของเธอไปอย่างทรนง
ทันใดนั้นเอง เธอก็หันกลับมาและจ้องมองไปยังดวงพระเนตรของพระนางเกว็นโดลีนราวกับว่ามันสามารถมองทะลุทะลวงพระวรกายไปได้ มันชะโงกหน้าเขามาเข้าใกล้พระนาง เข้ามาใกล้จนเกือบจะชนเข้ากับพระพักตร์ของพระองค์
พระนางเกว็นทรงแย้มพระโอษฐ์กว้างด้วยความประหลาดใจและทรงรู้สึกเกรงขาม หรืออาจจะเป็นความกลัว พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์ที่สั่นเทาออกไปด้วยความกลัว แล้วทรงวางพระหัตถ์ลงที่จมูกอันยาวของไมโคเพิลและทรงสัมผัสยังเกล็ดสีม่วงของมัน
หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดมาหลายวินาที ไมโคเพิลเริ่มกระพริบตาแล้วลดจมูกของเธอต่ำลง และถูมันเข้ากับท้องของพระนาง มันเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงความรัก ไมโคเพิลยังคงถูจมูกของเธอกับท้องของพระนางต่อไป ราวกับว่าตัวเธอติดอยู่ตรงนั้นธอร์ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
จากนั้น ไมโคเพิลก็หันหัวของเธอออกไปอย่างเร็ว แล้วมองขึ้นไปยังขอบฟ้า
"เธอสวยเหลือเกิน" พระนางเกว็นทรงกระซิบ
พระองค์ทรงหันพระพักตร์ไป ทอดพระเนตรไปยังธอร์
"ข้าได้ล้มเลิกความหวังที่เจ้าจะกลับมา"พระนางตรัส "ข้าไม่ได้คาดคิดว่า เจ้าจะมา"
"ตัวข้าก็เหมือนกัน การคิดถึงพระองค์ มันยังคงอยู่ในใจของข้า มันเป็นเหตุผลที่มำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อ อยู่เพื่อจะกลับมา"
พวกเขาเข้าสวมกอดกันอีกครั้ง กอดกันและกันอย่างแนบแน่นอย่างนั้น สัมผัสกันอย่ารักใคร่เอ็นดู จนท้ายที่สุด พวกเขาก็ผละตัวออกจากกัน
พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงต่ำและทรงสังเกตุเห็นดาบแห่งโชคชะตาอยู่ข้างลำตัวของธอร์ดวงพระเนตรเบิกกว้างและแย้มพระโอษฐ์เปิดกว้าง
"เจ้านำดาบกลับมาได้" พระองค์ตรัส พระองค์ทอดพระเนตรมองไปยังเขา ทรงยังไม่อยากเชื่อ "เจ้าเป็นคนนั้น หนึ่งเดียวที่สามารถยกดาบขึ้นได้"
ธอร์พยักหน้ารับ
"แต่ ทำได้อย่างไร" พระนางเริ่มตรัสขึ้น และทรงหยุดอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าพระนางทรงเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกมากมาย
"ข้าไม่รู้" ธอร์กล่าว "ข้าก็แค่ทำอย่างนั้นได้"
ดวงพระเนตรของนางเบิกขึ้นด้วยความหวัง ขณะที่พระองค์ตระหนักในบางอย่างขึ้นมาได้
"อย่างนั้น โล่พลังก็ใช้ได้อีกครั้ง" พระองค์ตรัสอย่างมีความหวัง
ธอร์พยักหน้ากลับไปยังเคร่งครึม
"แอนโดรนิคัสถูกกักตัวไว้" เขากล่าว "พวกเราปลดปล่อยราชสำนักและเมืองซิเลเซียได้แล้ว"
พระนางเกว็นโดลีนมีสีพระพักตร์ที่ผ่อนคลายและมีพระเกษมสำราญ
"มันคือเจ้า" พระองค์ตรัส เมื่อทรงระลึกขึ้นได้ "เจ้าปลดปล่อยเมืองของพวกเรา"
ธอร์ยักไหล่อย่างเป็นปกติ
"โดยมากแล้ว มันเป็นเพราะไมโคเพิลและดาบแห่งโชคชะตา ข้าแค่ติดตามไปด้วย"
พระนางเกว็นทรงยิ้มกว้าง
"แล้วชาวเมืองของเราล่ะ? พวกเขาปลอดภัยไหม? พวกเขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?"
ธอร์พยักหน้า
"พวกเขาทั้งหมด ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่และสบายดี"
พระองค์ทรงยิ้มกว้าง ทรงดูอ่อนพระชันษาอีกครั้ง
"เจ้าชายเคนดริคกำลังทรงรอพระองค์อยู่ที่เมืองซิเลเซีย" ธอร์กล่าว "และเจ้าชายก็อดฟรีย์ เจ้าชายรีส สร็อก และคนอื่นๆพวกเขายังมีชีวิตอยู่ทั้งหมดและมีความเป็นอยู่ดี เมืองถูกปลดปล่อยแล้ว"
พระนางเกว็นโดลีนทรงเร่งเข้าไปและทรงสวมสวมกอดธอร์ ทรงกอดเขาอย่างแนบแน่น เขารู้สึกว่าพระองค์ทรงรู้สึกปลดเปลื้องและทรงมีผ่อนคลายลง
"ข้าคิดว่าพวกเขาทั้งหมดหายสาบสูญไปแล้ว" พระองค์ตรัส ทรงกรรแสงออกมาเบาๆ "ข้าคิดว่ามันคงสูญสิ้นไปชั่วกาลนาน"
ธอร์ส่ายหัว
"อาณาจักรวงแหวนยังคงอยู่" เขากล่าว "พวกแอนโดรนิคัสกำลังฆ่าพากันหนี พวกเราจะกลับไปกลับไปกวาดล้างพวกมัน และพวกเราก็จะเริ่มสร้างเมืองขึ้นมาใหม่"
พระนางเกว็นโดลีนทรงหันกลับไปหาเขา และทรงทอดพระเนตรไปยังท้องฟ้า ทรงเช็ดน้ำพระเนตรออก พระองค์ทรงดึงฉลองพระองค์คลุมพันรอบพระวรกายแน่นขึ้นและสรพระพักตร์เต็มไปด้วยความเข้าใจ
"ข้าไม่รู้ว่า ถ้าข้ากลับไปที่นั่น"พระองค์ตรัส อย่างลังเล "บางอย่างได้เกิดขึ้นกับตัวข้า ในขณะที่เจ้าไม่อยู่"
ธอร์หันไปมองพระองค์ เขากอดพระองค์รอบพระอังสา
"ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์" เขากล่าว "พระมารดาของพระองค์ได้ทรงตรัสบอกกับข้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าอับอายเลย" เขากล่าว
พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรไปยังเขา ดวงพระเนตรเต็มไปด้วยความประหลาดใจและทรงสงสัย
"เจ้ารู้ งั้นหรือ?" พระองค์ตรัสถามอย่างตกใจสุดขีด
ธอร์พยักหน้า
"มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย"เขากล่าว "ข้ารักพระองค์มากเท่ากับที่เคยเป็นมา ยิ่งมากกว่าด้วยซ้ำ ความรักของเราคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและมันไม่มีทางจะถูกทำลายไปได้ ข้าว่าข้าจะต้องแก้แค้นให้กลับท่าน ข้าจะฆ่าพวกแอนโดรนิคัสด้วยตัวของข้าเอง และเพื่อความรักของเรา มันจะไม่มีวันตาย"
พระนางเกว็นทรงเร่งเข้าไปสวมกอดธอร์อย่างแนบแน่น น้ำพระเนตรหลั่งไหลลงมายังคอของเขา และเขารับรู้ความรู้สึกแห่งการปลดเปลื้องของพระองค์
"ข้ารักเจ้า" พระนางเกว็นตรัสในหูของเขา
"ข้าก็รักพระองค์เช่นกัน" เขาตอบกลับไป
ขณะที่ธอร์ยืนอยู่ตรงนั้น สวมกอดพระนางเอาไว้ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยอาการสั่นกลัว เขาต้องการทำมันเดี๋ยวนี้ ณ เวลานี้มากกว่าสิ่งใดทั้งมวลที่จะถามเธอ ที่จะขอเธอแต่งงาน แต่เขารู้สึกว่า เขาไม่ควรทำจนกว่าเขาจะบอกความลับของเขากับเธอเสียก่อน จนกว่าที่เขาจะบอกเธอว่าพ่อของเขาคือใคร
ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกเต็มไปด้วยความอับอายและอัปยศอดสู ตรงนี้เอง ที่เขายืนอยู่ และปฏิญาณตนว่า จะฆ่าพวกคนที่ พวกเขาเกลียดมากที่สุดทุกคน และนี่ก็คือ คำพูดต่อไปของเขา เขาจะพูดออกมาอย่างไร ว่าแอนโดรนิคัสคือพ่อของเขา?
ธอร์รู้สึกมั่นใจว่าถ้าเขาทำอย่างนั้น พระนางเกว็นโดลีนก็จะเกลียดเขาตลอดไป และเขาไม่สามารถเสี่ยงที่จะสูญเสียพระองค์ไปอีก ไม่ได้ หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้เกิดขึ้นมาแล้ว เขาก็รักพระองค์มากเหลือเกิน
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มือของเขากับสั่นไหว ธอร์เอื้อมมือไปที่กระเป๋าเสื้อของเขาและดึงสร้อยคอชิ้นหนึ่งออกมา มันเป็นสร้อยที่เขาพบในระหว่างที่ตามหาสมบัติมีค่าของมังกร เชือกที่ทำมาจากทองคำและมีรูปหัวใจทองคำที่เปล่งประกาย รวมถึงมีเพชรและทับทิมอยู่ด้วย เขายกมันขึ้นมาอยู่ในแสงสว่าง ให้พระนางเกว็นทอดพระเนตรดู พระนางทรงอ้าพระโอษฐ์ เมื่อเห็นมันอยู่ตรงนั้น
ธอร์เดินมาด้านหลังของเธอ แล้วสวมใส่มันรอบพระศอของนาง
"มันคือสิ่งเล็กน้อยที่แสดงความรักใคร่ของข้าพระองค์" เขากล่าว
มันดูสวยงามเมื่อพระนางสวมใส่ ทองคำเปล่งประกายท่ามกลางแสงและสะท้อนทุกอย่างออกมา
แหวนที่อยู่ในกระเป๋าของเขาก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมา ธอร์ปฏิญาณว่า จะให้มันกับเธอเมื่อถึงเวลาอันสมควร เมื่อเขาสามารถรวบรวมความกล้าที่จะบอกความจริงกับพระองค์แต่ในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานั้น ทั้งๆ ที่เขาหวังว่ามันควรจะเป็น
"พระองค์เห็นไหมว่า ทรงกลับไปแล้ว" ธอร์กล่าวพร้อมจับแก้มของพระองค์อย่างแผ่วเบาจากหลังมือของเขา "พระองค์ต้องกลับไป ประชาชนกำลังต้องการพระองค์ พวกเขาต้องการผู้นำ อาณาจักรวงแหวนจะไม่เหลืออะไร หากปราศจากผู้นำ พวกเขาต้องการพระองค์เพื่อชี้แนวทาง พวกแอนโดรนิคัสยังคงอยู่อย่างเงียบๆในครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเมืองหลายหลายเมืองกำลังต้องการการบูรณะ
เขามองไปที่ดวงพระเนตรของนางและสามารถเห็นว่าพระองค์กำลังรวบรวมความคิด
"ตอบว่า ตกลงเถิด"ธอร์เร่งเร้า "กลับไปกับเกล้ากระหม่อม หอคอยนี้ไม่ใช่สถานที่ สำหรับหญิงสาวที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต อาณาจักรวงแหวนต้องการพระองค์ ข้าต้องการพระองค์"
ธอร์ยื่นมือออกมาแล้วรอคอย พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงไปอย่างลังเล
ในที่สุด พระนางก็ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา และวางมันลงบนมือของเขา สายพระเนตรดูอ่อนลงเรื่อยๆและมีแววแห่งความรักและความอบอุ่นอยู่ในนั้น เขามองเห็นว่าพระองค์กลับมาเป็นพระนางเกว็นโดลีนคนเดิมของเขาอีกครั้ง รับรู้สึกถึงความรู้สึกของชีวิตความรักและความสุขใจ มันเหมือนราวกับว่าพระองค์เป็นดอกไม้ที่ฟื้นคืนขึ้นมาในดวงตาของเขา
"ข้าตกลง" พระองค์ตรัสอย่างแผ่วเบา และทรงแย้มพระโอษฐ์
พวกเขาสวมกอดกันและเขากอดพระองค์แนบแน่น และปฏิญาณว่าจะไม่ปล่อยพระองค์ไปไหนอีกแล้ว
บทที่ เจ็ด
อีเร็คเปิดตาของเขาและพบว่าเขานอนอยู่ในอ้อมแขนของอลิสแตร์ เขามองขึ้นไปยังนัยน์ตาสดใสสีฟ้าของเธอที่เหมือนแสงส่องลงมา อันเปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่น เธอมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เขารู้สึกว่าความอบอุ่นแผ่ออกมาจากมือของเธอแล้วไปทั่วร่างของเขา เมื่อเขาตรวจสอบตัวเองดู เขารู้สึกว่าร่างกายได้รับการเยียวยาแล้วอย่างสมบูรณ์ รู้สึกดั่งเกิดใหม่ ราวกับว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน นางได้ชุบชีวิตเขาขึ้นจากความตาย
อีเร็คลุกขึ้นนั่งมองเข้าไปในดวงตาของอลิสแตร์ด้วยความประหลาดใจ และเขารู้สึกพิศวงอีกครั้งว่า แท้จริงแล้วเธอเป็นใคร เธอถึงมีพลังแบบนั้นได้อย่างไร
เมื่ออีเร็คลุกขึ้นนั่งแล้วนวดหัวตัวเอง เขาก็จำได้โดยทันที เรื่องทหารของแอนโดรนิคัส การโจมตี การปกป้องธารน้ำลึก และหินก้อนขนาดใหญ่
อีเร็คกระโดดขึ้นด้วยสองเท้าของเขาและมองมายังทหารทั้งหลายที่ตากมองมาที่ตัวเขาราวกับว่ารอคอยการฟื้นคืนและรอคำสั่งใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยการปลดเปลื้อง
"ข้าหมดสติไปนานเท่าไหร่?" เขาหันมาถามอลิสแตร์อย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกผิดที่ต้องละทิ้งคนของเขาไว้เป็นเวลานาน แต่เธอยิ้มกลับมาที่เขายังหวานชื่น
"นานราวหนึ่งวินาที" เธอกล่าว
อีเร็คไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เขารู้สึกฟื้นตัวแข็งแรงราวกับว่า เขานอนหลับไปหลายปี เขารู้สึกถึงการพุ่งกระโดดของตนในรูปแบบใหม่ เมื่อเขายกเท้าขึ้นกระโดดตัว วกตัวกลับ แล้ววิ่งไปบริเวณทางเข้าของธารน้ำลึก และได้เห็นงานฝีมือของเขาม ก้อนหินขนาดใหญ่ที่เขาพุ่งเข้าชน ตอนนี้มันหยุดนิ่งและทหารของแอนโดรนิคัสไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ พวกเขาได้กระทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จลง เขาได้ปกป้องทัพตนจากกองทัพขนาดใหญ่ อย่างน้อยๆ ก็ในขณะนี้