เจ้าหญิงทรงเดินเข้าไปหาชายร่างสูง พุงใหญ่คนหนึ่ง ที่ทรงจำได้ว่าคือ อคอร์ธ สหายร่วมดื่มคนหนึ่งของก็อดฟรีย์
“พี่ชายข้าอยู่ที่ไหน?” เจ้าหญิงตรัสถาม
เจ้าหญิงทรงประหลาดพระทัยที่อคอร์ธซึ่งปกติแล้วเป็นคนรื่นเริง มักจะมีเรื่องตลกบ้าน ๆ ที่ขำเองคนเดียว เขาเพียงแค่ผงกศีรษะ
“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฝ่าบาท” เขาทูลอย่างเคร่งขรึม
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เจ้าหญิงทรงย้ำ พระหทัยเต้นแรง
“เจ้าชายเสวยเหล้าปนเปื้อนเข้าไป” ชายร่างสูง ผอม ที่ทรงจำได้ว่าชื่อฟุลตัน สหายอีกคนของก็อดฟรีย์ ทูลตอบ “ทรงเข้าบรรทมดึกเมื่อคืนนี้ และยังไม่ลุกขึ้นอีกเลย”
“เขายังมีชีวิตอยู่ไหม?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างตระหนก แล้วทรงคว้าข้อมืออคอร์ธไว้
“ร่อแร่เต็มที่” เขาทูลตอบพลางก้มหน้า “เจ้าชายอาการไม่ดีนัก ทรงไม่ตรัสอะไรมาสักชั่วโมงแล้ว”
“เขาอยู่ที่ไหน?” เจ้าหญิงเกว็นทรงยืนกราน
“อยู่ที่ด้านหลัง แม่หญิง” คนขายเหล้าทูล พลางเอนตัวข้ามโต๊ะมาปัดเหยือกเหล้า เขาเองก็ดูเคร่งขรึม “และท่านน่าจะเตรียมแผนจัดการกับเขาด้วย ข้าจะไม่ยอมมีศพอยู่ในร้านของข้า”
เจ้าหญิงเกว็นทรงเหลืออด ประหลาดพระทัยที่พระองค์ทรงชักมีดสั้นเล่มเล็กออกมา จ่อเข้าที่ลำคอของคนขายเหล้า
เขากลืนน้ำลาย ดูตกตะลึง ขณะที่ทั้งห้องเงียบสนิท
“ก่อนอื่น” เจ้าหญิงตรัส “ที่นี่ไม่เรียกว่าร้านหรอก มันเป็นข้ออ้างที่ใช้เรียกบ่อน้ำ และข้าจะให้ทหารองครักษ์พังที่นี่ให้ราบ ถ้าเจ้าพูดกับข้าแบบนั้นอีก เจ้าน่าจะเริ่มต้นด้วยการเรียกข้าว่า ฝ่าบาท”
เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้สึกไม่เป็นตัวเอง ทรงประหลาดพระทัยที่ทรงเข้มแข็ง พระนางไม่ทรงรู้เลยว่ามันมาจากไหน
ชายขายเหล้ากลืนน้ำลาย
“ฝ่าบาท” เขาทูลตาม
เจ้าหญิงเกว็นทรงถือมีดสั้นไว้มั่น
“เรื่องที่สอง พี่ชายข้าจะไม่ตาย ไม่ใช่ที่นี่ ศพของเขาเป็นเกียรติแก่ร้านของเจ้ามากกว่าคนเป็นที่ผ่านเข้าออกที่นี่เสียอีก และถ้าเขาตาย เจ้ามั่นใจได้เลยว่าเจ้าต้องรับผิดชอบด้วย”
“แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ฝ่าบาท!” เขาโอดโอย “มันก็เหล้าแบบเดียวกับที่ข้ารินให้คนอื่น ๆ!”
“ต้องมีคนวางยาพิษในเหล้า” อคอร์ธกล่าวเสริม
“อาจจะเป็นใครก็ได้” ฟุลตันบอก
เจ้าหญิงเกว็นลดมีดสั้นลงช้า ๆ
“พาข้าไปหาเขา เดี๋ยวนี้!” เจ้าหญิงตรัสสั่ง
ตอนนี้เจ้าของร้านก้มศีรษะอย่างนอบน้อม และรีบเดินออกประตูด้านข้างที่อยู่ด้านหลังโต๊ะขายเหล้า เจ้าหญิงเกว็นเสด็จตามเขาไปติด ๆ โดยมีอคอร์ธและฟุลตันตามมาด้วย
เจ้าหญิงเกว็นทรงเข้าไปในห้องเล็กด้านหลังร้าน และได้ยินเสียงพระนางเองที่เปล่งออกมาเมื่อได้เห็นเชษฐา เจ้าชายก็อดฟรีย์นอนหงายอยู่บนพื้น พระองค์ดูซีดเผือดกว่าที่ทรงเคยเห็น ก็อดฟรีย์อยู่ห่างความตายเพียงก้าวเดียว เรื่องทั้งหมดเป็นความจริง
เจ้าหญิงเกว็นรีบเสด็จไปข้างพี่ชาย ทรงคว้าพระหัตถ์ไว้และรู้สึกถึงความเย็นเฉียบ เขาไม่ตอบสนอง นอนนิ่งอยู่กับพื้น ไม่ได้โกนหนวดเครา ผมเผ้าเหนียวปรกหน้าผาก แต่เจ้าหญิงยังทรงรู้สึกถึงชีพจรของเขา แม้จะแผ่วแต่ก็ยังเต้นอยู่ พระนางทรงเห็นอุระขยับทุกจังหวะการหายใจ เขายังมีชีวิตอยู่
พระนางทรงกริ้วขึ้นมาทันที
“เจ้าทิ้งเขาไว้อย่างนี้ได้อย่างไร?” เจ้าหญิงทรงตะโกน พลางหันไปหาเจ้าของร้าน “พี่ชายข้า เป็นราชนิกูล ถูกทิ้งให้นอนอยู่บนพื้นราวกับสุนัขรอความตายอย่างนั้นหรือ?”
เจ้าของร้านเหล้ากลืนน้ำลาย ดูเป็นกังวล
“ข้าจะทำอะไรได้อีก ฝ่าบาท?” เขาทูลถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ “ที่นี่ไม่ใช่โรงหมอ ทุกคนบอกว่าเจ้าชายสิ้นพระชนม์แน่ และ....”
“เขายังไม่ตาย!” เจ้าหญิงทรงตะโกน “แล้วเจ้าสองคน” ทรงหันไปหาอคอร์ธและฟุลตัน “พวกเจ้าเป็นเพื่อนแบบไหนกัน? เขาเคยทิ้งพวกเจ้าแบบนี้ไหม?”
อคอร์ธและฟุลตันมองหน้ากันเงียบ ๆ
“อภัยให้ข้าด้วย” อคอร์ธทูล “หมอมาดูเมื่อคืนนี้และบอกว่าเจ้าชายกำลังจะสิ้นพระชนม์ และทำได้แค่รอเวลาให้ความตายมาถึงเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก”
“เราอยู่กับพระองค์ตลอดคืน ฝ่าบาท” ฟุลตันทูลเสริม “อยู่ข้างพระองค์ เราเพิ่งออกไปพักและดื่มเพื่อให้ลืมความเศร้า ตอนที่ท่านเสด็จมาถึง และ...”
เจ้าหญิงเกว็นทรงยื่นพระหัตถ์ไปปัดเหยือกเหล้าในมือของทั้งสองคนด้วยความกริ้ว เหยือกกระเด็นไปบนพื้น เหล้ากระจายไปทั่ว ทั้งสองคนเงยหน้ามองพระนางด้วยความตกใจ
“เจ้าสองคน ช่วยกันยกเขาคนละด้าน” พระนางตรัสสั่งอย่างเย็นชา ทรงรู้สึกถึงพละกำลังที่พลุ่งพล่านขึ้นใหม่ในพระวรกาย “พวกเจ้าจะพาเขาไปจากที่นี่ เดินตามข้าไปในราชสำนัก จนถึงหมอหลวง พี่ชายข้าจะต้องได้รับการรักษาที่แท้จริง และจะไม่ถูกทิ้งให้ตายเพราะคำบอกของหมอโง่เง่า”
“ส่วนเจ้า” เจ้าหญิงทรงหันไปหาเจ้าของร้านเหล้า “หากพี่ชายข้ารอด และถ้าเขากลับมาที่นี่อีก แล้วเจ้ายอมรินเหล้าให้เขาดื่มอีก ข้าจะถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะโยนเจ้าเข้าคุกใต้ดินไม่ได้ออกมาอีก”
เจ้าของร้านขยับตัวและก้มศีรษะ
“เอาล่ะ ไปได้แล้ว!” เจ้าหญิงทรงตะโกน
อคอร์ธและฟุลตันสะดุ้ง แล้วกระโดดขึ้นทำตาม เจ้าหญิงเกว็นรีบเสด็จออกจากห้อง โดยมีชายทั้งสองแบกเชษฐาของพระนางตามหลังมา ออกจากร้านเหล้าไปสู่แสงตะวัน
ทั้งหมดรีบเดินไปตามตรอกแออัดเพื่อมุ่งหน้าไปหาหมอหลวง เจ้าหญิงเกว็นได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่สายเกินไป
บทที่ สาม
ธอร์ขี่ม้าข้ามทุ่งคลุ้งฝุ่นนอกเขตราชสำนัก โดยมีเจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็นและคู่แฝดอยู่ด้านข้าง โครห์นวิ่งตามมาด้วย เจ้าชายเคนดริค คอล์ค บรอม และทหารกองยุวชนและกองรบเงินขี่ม้ามาพร้อมพวกเขา ยกทัพใหญ่ไปรับมือกับพวกแม็คคลาวด์ ทั้งหมดขี่ม้าไปพร้อมกัน เตรียมพร้อมที่จะปกป้องเมือง เสียงฝีเท้าม้าดังสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าผ่า พวกเขาขี่ม้ามาตลอดทั้งวัน อาทิตย์ดวงที่สองเริ่มคล้อยต่ำอยู่บนฟ้า ธอร์แทบไม่อยากเชื่อว่าเขาขี่ม้าอยู่กับนักรบผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ในภารกิจทางทหารครั้งแรกของเขา ธอร์รู้สึกว่าได้รับการยอมรับเป็นหนึ่งในพวกเขา ที่จริงกองทหารยุวชนทั้งกองถูกเรียกตัวมาเป็นกองหนุน เพื่อนทุกคนขี่ม้าอยู่รอบตัวเขา กองทหารยุวชนมีจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับกองทัพหลวงหลายพันคน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ธอร์รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง
ธอร์รู้สึกถึงเป้าหมายที่กำลังผลักดันเขาอยู่ เขารู้สึกเป็นที่ต้องการ ชาวเมืองกำลังถูกพวกแม็คคลาวด์จับตัวไว้ และเป็นหน้าที่ของกองทัพนี้ที่จะช่วยปลดปล่อยพวกเขา เพื่อช่วยชาวเมืองให้พ้นจากชะตากรรมอันโหดร้าย ความสำคัญของสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ทิ้งน้ำหนักลงบนบ่าเขาราวกับมีชีวิต มันทำให้เขารู้สึกมีชีวิต
ธอร์รู้สึกปลอดภัยท่ามกลางชายเหล่านี้ แต่เขายังรู้สึกกังวลด้วย กองทัพนี้ประกอบด้วยชายชาตรีแต่นั่นก็หมายถึงพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ด้วยเช่นกัน มันเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย เดิมพันนั้นสูงกว่าที่เขาเคยพบมากนัก ขณะที่ธอร์ขี่ม้าไปนั้น เขายื่นมือลงไปตามสัญชาตญาณและรู้สึกมั่นใจเมื่อพบหนังสติ๊กคู่ใจและดาบเล่มใหม่ของเขา ธอร์สงสัยว่าเมื่อวันนี้สิ้นสุดลงมันจะเปื้อนคราบโลหิตหรือไม่ หรือเขาเองจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนดังขึ้น ดังสนั่นกว่าเสียงฝีเท้าม้า ขณะที่พวกเขาเลี้ยวไปตามโค้งและเห็นเมืองที่ถูกบุกยึดอยู่ตรงขอบฟ้าเป็นครั้งแรก ควันดำลอยคละคลุ้งเหนือเมือง กองทัพแม็คกิลกระตุ้นม้าเพื่อเร่งความเร็ว ธอร์ก็เตะม้าแรงขึ้น พยายามตามคนอื่นให้ทัน ขณะที่ทุกคนชักดาบออกมา ชูขึ้นและมุ่งหน้าไปยังเมืองนั้นด้วยความมุ่งมั่น
กองทัพมหึมาแยกออกเป็นกองย่อย ในกองของธอร์มีทหารสิบนาย ทหารยุวชน เพื่อนของเขา และคนอื่นอีกสองสามคนที่เขาไม่รู้จัก ด้านหน้ามีผู้บัญชาการอาวุโสนายหนึ่งขี่ม้านำอยู่ คนอื่น ๆ เรียกเขาว่า ฟอร์ก เป็นชายร่างสูงผอมเกร็ง ผิวเป็นรอยแผลเป็นจากฝีดาษ ผมสีเทาตัดสั้น ดวงตาโหลลึก กองทัพแยกออกเป็นกองย่อยและกระจายออกไปทุกทิศ
“กองนี้ตามข้ามา!” เขาสั่ง ชี้ไม้เท้ามาที่ธอร์และคนอื่น ๆ ให้แยกออกมาและตามเขาไป
กองของธอร์ทำตามคำสั่ง และขี่ม้าตามหลังฟอร์กไป แยกห่างออกจากกองทัพใหญ่ ธอร์หันกลับไปดูและสังเกตว่ากองของเขาแยกห่างออกมา มากที่สุด กองทัพหลวงเริ่มไกลออกไปมากขึ้น และขณะที่ธอร์กำลังสงสัยว่าพวกเขาจะถูกพาไปที่ไหน ฟอร์กก็ตะโกนขึ้น
“เราจะเข้าประจำที่ทางด้านข้างกองทัพของพวกแม็คคลาวด์!”
ธอร์และคนอื่น ๆ มองหน้ากันอย่างกังวลและตื่นเต้นขณะที่ขี่ม้าแยกออกไป จนกองทัพใหญ่หายลับไปจากสายตา
ในไม่ช้าพวกเขาก็ไปถึงภูมิประเทศใหม่ เมืองหายไปจากสายตา ธอร์ระวังตัว แต่ไม่มีวี่แววกองทัพของพวกแม็คคลาวด์
ในที่สุด ฟอร์กก็ชักม้าให้หยุดลงที่เนินเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในป่าละเมาะ คนอื่นหยุดอยู่ด้านหลังเขา
ธอร์และเพื่อนมองดูฟอร์กพลางสงสัยถึงสาเหตุที่เขาหยุด
“ภารกิจของเราคือประจำการอยู่ที่นั่น” ฟอร์กอธิบาย “พวกเจ้ายังเป็นนักรบหนุ่ม เราจึงไม่อยากให้เผชิญความคุกรุ่นของสนามรบมากนัก พวกเจ้าต้องตั้งมั่นอยู่ที่นี่ ขณะที่กองทัพหลวงเคลื่อนผ่านเมืองไปเผชิญหน้ากับกองทัพแม็คคลาวด์ ทหารแม็คคลาวด์ไม่น่าจะมาทางนี้ พวกเจ้าน่าจะปลอดภัยที่นี่ กระจายกันประจำตำแหน่งและรออยู่ที่นี่จนกว่าเราจะสั่งเปลี่ยนแปลง ไปได้แล้ว!”
ฟอร์กกระตุ้นม้าให้วิ่งขึ้นเนินไป ธอร์และคนอื่นทำตามและขี่ม้าตามเขาไป กองทหารเล็ก ๆ นี้ขี่ม้าตัดทุ่งราบคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น โดยไม่เห็นใครเลยในรัศมีการมองเห็น ธอร์รู้สึกผิดหวังที่ถูกถอนออกจากหน้าที่หลัก ทำไมพวกเขาถึงได้รับการปกป้องขนาดนี้?
ยิ่งขี่ม้าใกล้เข้าไป ธอร์ก็ยิ่งรู้สึกประหลาด เขาไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สัมผัสที่หกของเขาบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อพวกเขาใกล้ถึงยอดเนิน ด้านบนมีป้อมโบราณเล็ก ๆ ตั้งอยู่ หอคอยสูงถูกทิ้งร้าง บางอย่างบอกให้ธอร์หันกลับไปดูด้านหลัง เมื่อเขาหันไปก็ต้องประหลาดใจที่เห็นฟอร์กค่อย ๆ ลงไปอยู่รั้งท้าย ห่างออกไปเรื่อย ๆ และขณะที่เขากำลังมองดูนั้น ฟอร์กก็หันหลังแล้วกระตุ้นม้าควบห่างออกไปโดยไม่บอกกล่าว
ธอร์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ฟอร์กจึงทิ้งพวกเขาไว้? โครห์นร้องครางอยู่ข้างเขา
ขณะที่ธอร์กำลังประมวลสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ไปถึงยอดเนิน ไปถึงป้อมโบราณนั่น ไม่คาดคิดว่าจะได้พบอะไรนอกจากความรกร้างตรงหน้า