“บุก!” ดันแคนประกาศกร้าว
ทหารของเขาโห่ร้อง ทั้งหมดพุ่งลงเนินเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ควบม้าไปยังท่าเรือที่ห่างออกไปหลายร้อยหลา พวกเขาชูคบเพลิงขึ้นสูง หัวใจของดันแคนกำลังเต้นรัว เขารู้ว่าภารกิจนี้เหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย – และเขาไม่รู้ว่จะสำเร็จหรือไม่
พวกเขามุ่งลงไปยังชานเมือง ควบม้าอย่างรวดเร็ว อากาศที่แห้งเย็นแทบจะทำให้พวกเขาลืมหายใจ เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ท่าเรือ กำแพงหินข้างหน้าอยู่ห่างออกไปอีกประมาณร้อยหลา ดันแคนเตรียมพร้อมเข้าสู่สงคราม
“พลธนู!” เขาตะโกน
พลธนูขี่ม้าเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ จุดไฟที่ปลายลูกธนู และกำลังรอคำสั่ง พวกเขาควบม้าเข้าไปเรื่อย ๆ เสียงฝีเท้าของม้าดังกึกก้อง แพนดิเซียยังคงไม่รู้ว่าการโจมตีกำลังจะมาถึง
ดันแคนรอจนกว่าพวกเขาจะเข้าไปใกล้กว่านี้ – เหลืออีกสี่สิบหลา สามสิบหลา ยี่สิบหลา – ในที่สุดเขาก็รู้ว่าถึงเวลาแล้ว
“ยิง!”
ทันใดนั้นค่ำคืนอันมืดมิดก็ส่องสว่างด้วยธนูไฟนับพันที่ทะยานขึ้นสูงผ่านอากาศ และพุ่งเป้าไปที่เรือของแพนดิเซียนับสิบลำที่จอดทอดสมออยู่ในท่าเรือ แสงไฟดูเหมือนกับหิ่งห้อย ลูกธนูพุ่งไปที่เป้าหมาย นั่นคือกองเรือแพนดิเซียที่กำลังจอดอยู่พร้อมธงที่โบกสะบัด
ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าที่เรือจะถูกเผาไหม้ ใบเรือและเรือทั้งหมดลุกเป็นไฟ เปลวไฟลุกลามไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางท่าเรือที่มีแต่สายลม
“อีกครั้ง!” ดันแคนตะโกน
ทหารระดมยิงซ้ำแล้วซ้ำอีก ธนูไฟตกลงมาเหมือนสายฝนทั่วกองเรือแพนดิเซีย
กองเรือของแพนดิเซียที่กำลังอยู่อย่างเงียบสงบในยามค่ำคืน เหล่าทหารต่างพากันเข้านอนอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดไม่ได้คาดคิด แพนดิเซียช่างโอหังนัก สำราญมากเกินไปที่ไม่นึกถึงการโจมตีเช่นนี้
ดันแคนไม่รอเวลาให้แพนดิเซียระดมพล เขาควบม้าไปข้างหน้าเพื่อใกล้เข้าท่าเรือ เขานำทัพตรงไปยังกำแพงหินที่ติดกับท่าเรือ
“คบเพลิง!” เขาตะโกน
ทหารของเขาพุ่งเข้าไปยังแนวชายฝั่ง ชูคบเพลิงขึ้นสูง และส่งเสียงตะโกนดังสนั่น ทั้งหมดทำตามดันแคน พวกเขาเหวี่ยงคบเพลิงไปยังเรือที่ใกล้ที่สุด คบเพลิงขนาดใหญ่กระแทกเข้าไป เสียงไม้กระทบดังไปทั่ว เรืออีกนับสิบลุกเป็นไฟ
ทหารเวรของแพนดิเซียสังเกตเห็นช้าเกินไปว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาตกอยู่ในทะเลเพลิงเรียบร้อยแล้ว ต่างพากันตะโกนร้องและกระโดดลงจากเรือ
ดันแคนรู้ดีว่าถึงเวลาปลุกส่วนที่เหลือของแพนดิเซีย
“แตร!” เขาตะโกน
เสียงแตรดังขึ้นจากกองกำลังของเขา รูปแบบการปลุกระดมอันเก่าแก่ของเอสคาลอน ดันแคนรู้ว่าซีวิกจะต้องจดจำเสียงนี้ได้
ดันแคนลงจากม้า ชักดาบออกมาและพุ่งไปที่กำแพงท่าเรือ เขากระโดดขึ้นไปบนกำแพงหินโดยไม่ลังเล และขึ้นไปบนเรือที่กำลังลุกไหม้ นำทางพุ่งไปข้างหน้า เขาต้องเผด็จศึกแพนดิเซียก่อนที่พวกมันจะระดมพล
เอนวินและอาร์ทฟอลพุ่งเข้ามาทางด้านข้าง เหล่าทหารตามมา ทั้งหมดต่างตะโกนสิงหนาทอันกึกก้อง ราวกับว่าพวกเขากำลังทิ้งชีวิตไปในสายลม หลังจากที่ต้องยอมจำนนมาหลายปี วันแห่งการแก้แค้นของพวกเขาได้มาถึงแล้ว
ในที่สุดแพนดิเซียก็ไหวตัว ทหารเริ่มรวมตัวกันที่ดาดฟ้าด้านล่าง เดินกันขวักไขว่เหมือนมด ไอจากควันไฟทำให้ทหารแพนดิเซียมึนงงและสับสน พวกมันมองเห็นดันแคนและทหารของเขา ทหารแพนดิเซียชักดาบออกมาและพุ่งเข้าใส่ ดันแคนพบว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับทหารนับร้อย – แต่เขาไม่ลังเล เขารีบเข้าโจมตีทันที
ดันแคนก้มหลบเมื่อทหารกำลังฟาดคมดาบมาที่ศีรษะของเขา เขาลุกขึ้นมาและแทงไปที่ท้องของทหาร ทหารอีกคนโจมตีมาทางด้านหลัง ดันแคนหมุนตัวและต้านเอาไว้ – เหวี่ยงดาบของทหารคนนั้นไปรอบ ๆ และแทงเข้าไปที่หน้าอก
ดันแคนต่อสู้เยี่ยงวีรบุรุษ เขาถูกโจมตีจากทุกทิศทาง ทำให้นึกถึงวันเก่า ๆ เขาพบว่าตัวเองกรำศึกมามาก เขาหลบหลีกได้จากทุกทิศทาง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้มากเกินไปที่จะใช้ดาบ เขาโน้มตัวกลับหลังและเตะขา สร้างพื้นที่สำหรับการเหวี่ยงดาบ ในพริบตาเขาหมุนตัวตีศอก ต่อสู้ด้วยมือเปล่าในระยะประชิดเมื่อจำเป็น ศัตรูต่างล้มกองอยู่ตรงหน้า และไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้
หลังจากนั้นไม่นาน เอนวินและอาร์ทฟอลได้เข้ามาร่วมด้วย พร้อมกับทหารอีกหลายสิบคน เอนวินป้องกันการโจมตีของศัตรูที่พุ่งมาหาดันแคนจากด้านหลัง ทำให้ดันแคนรอดจากการบาดเจ็บ – ขณะที่อาร์ทฟอลก้าวไปข้างหน้า ยกดาบของเขาขึ้นและป้องกันขวานที่จะฟันลงมาที่หน้าของดันแคน ดันแคนได้ก้าวไปข้างหน้าและแทงดาบไปที่ท้องของศัตรูทันที ดันแคนและอาร์ทฟอลต่างร่วมมือกันกำราบศัตรู
ทั้งหมดต่อสู้กันอย่างพร้อมเพรียง เสมือนเครื่องจักรที่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยน้ำมัน ต่างคุ้มกันหลังของกันและกัน เสียงปะทะของดาบและชุดเกราะส่งเสียงอึกทึกท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
ดันแคนมองเห็นทหารของเขากระโดดขึ้นไปบนเรือและลงไปที่ท่าเรือ โจมตีกองเรือพร้อมกัน ทหารของแพนดิเซียวิ่งแตกตื่นออกมา ทหารบางคนตัวติดไฟ นักรบของเอสคาลอนทั้งหมดต่อสู้อย่างห้าวหาญท่ามกลางกองเพลิง ไม่มีใครถอยหลัง แม้ว่าจะมีเปลวเพลิงโหมกระหน่ำอยู่รอบตัว ดันแคนพร้อมต่อสู้จนกว่าเขาจะไม่สามารถยกแขนขึ้นได้อีก ความร้อนทำให้หยาดเหงื่อไหลท่วมกาย ควันไฟบดบังการมองเห็น เสียงดาบปะทะกันรอบตัว ทหารแพนดิเซียที่จะหนีออกจากฝั่งร่วงลงสู่พื้นคนแล้วคนเล่า
ในที่สุดเปลวไฟก็ลุกโหมอย่างเต็มที่ ทหารของแพนดิเซียในชุดเกราะติดอยู่ในกองเพลิง กระโจนออกมาจากเรือลงไปยังน้ำข้างล่าง – ดันแคนนำทหารของเขาออกจากเรือและข้ามกำแพงหิน ย้อนกลับไปยังฝั่งท่าเรือ ดันแคนได้ยินเสียงตะโกน เขาหันกลับไปเห็นทหารแพนดิเซียนับร้อยพยายามตามมา
ทันทีที่ทหารคนสุดท้ายลงมาถึงพื้น ดันหันกลับไป ยกดาบของเขาขึ้นและฟันเชือกขนาดใหญ่ที่ผูกเรืออยู่กับฝั่ง
“เชือก!” ดันแคนตะโกน
ทหารทั้งหมดทำตามคำสั่งและฟันเชือกที่ทอดสมอกองเรือ เมื่อเชือกขนาดใหญ่ขาดสะบั้น ดันแคนวางเท้าไปที่โครงเรือและถีบออกไปเพื่อผลักเรือออกจากชายฝั่ง เอนวิน อาร์ทฟอลและคนอื่น ๆ รีบวิ่งเข้ามาช่วย พวกเขาทั้งหมดผลักเรือที่ติดไฟออกไปจากชายฝั่ง
เรือที่กำลังลุกไหม้เต็มไปด้วยทหาร เรือลำนั้นพุ่งตรงไปชนเรือลำอื่นในท่าเรือ – ทำให้เรือลำอื่นติดไฟเช่นกัน พวกทหารกระโดดลงจากเรือ ส่งเสียง และจมลงไปในน้ำทะเล
ดันแคนยืนนิ่ง หายใจหอบและมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย เมื่อท่าเรือทั้งหมดลุกเป็นไฟ ทหารแพนดิเซียนับพันออกมาจากดาดฟ้าเรือลำอื่น ๆ – แต่สายเกินไปแล้ว พวกเขาต้องเจอกับกำแพงไฟ และถูกเผาทั้งเป็นอย่างไม่มีทางเลือก หรือไม่ก็กระโดดลงไปสู่ความตายและจมอยู่ในน้ำที่หนาวเหน็บ ทหารแพนดิเซียทั้งหมดเลือกอย่างหลัง ดันแคนมองท่าเรือที่เต็มไปด้วยศพนับร้อยลอยอยู่ในน้ำ ทหารที่รอดชีวิตต่างตะโกนร้องและว่ายมาที่ฝั่ง
“พลธนู!” ดันแคนตะโกน
พลธนูของเขาเล็งเป้าและระดมยิงซ้ำแล้วซ้ำอีกไปยังทหารที่กำลังแตกทัพ ลูกธนูพุ่งเข้าเป้า กองเรือแพนดิเซียจมดิ่งลงไป
แม่น้ำกลายเป็นสีแดงเลือด ในไม่ช้าก็มีเสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องดังขึ้น เมื่อฉลามเหลืองเข้ามากินอาหารในท่าเรือที่โชกเลือดแห่งนี้
ดันแคนมองไปยังพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ทอแสง นี่เขาทำอะไรลงไป เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วกองเรือทั้งหมดของแพนดิเซียยังตั้งอยู่ในท่าเรืออย่างโอหัง สัญลักษณ์การครอบครองของแพนดิเซียไม่มีอีกต่อไปแล้ว เรือนับร้อยถูกทำลาย ทั้งหมดถูกเผาไปพร้อมกับชัยชนะของดันแคน การโจมตีด้วยความเร็วและไม่ทันตั้งตัวของเขาได้ผล
เสียงตะโกนดังขึ้นในหมู่ทหาร ดันแคนหันไป ทหารของเขากำลังส่งเสียร้องโห่ขณะมองเรือที่กำลังถูกเผา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเขม่า และความเหนื่อยล้าจากการขี่ม้ามาทั้งคืน – แต่ทั้งหมดกำลังดื่มด่ำกับชัยชนะ มันคือเสียงร้องแห่งความดีใจ เสียงร้องแห่งอิสรภาพ เสียงร้องที่พวกเขาเฝ้ารอมาเป็นเวลานานหลายปี
หลังจากนั้นไม่นานมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา – เสียงนี้เหมือนเป็นลางไม่ดี – ตามมาด้วยเสียงที่ทำให้ดันแคนขนลุกชัน เขาหันไปเห็นประตูขนาดใหญ่ค่อย ๆ เปิดขึ้น ดันแคนตกใจกับภาพที่ปรากฏ ทหารแพนดิเซียนับพัน สรรพาวุธพร้อมรบ กองกำลังที่สมบูรณ์แบบ กองทัพมืออาชีพ ในอัตราสิบต่อหนึ่งเมื่อเทียบกับทหารของเขา ทหารแพนดิเซียกำลังเตรียมการ เมื่อประตูเปิดขึ้น ทหารแพนดิเซียก็ส่งเสียงร้องและพุ่งมาที่ทหารของเขา
สัตว์ร้ายถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ตอนนี้สงครามที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้น
บทที่หก
ไคร่ายึดแผงคอของแอนดอร์ไว้แน่นขณะที่ทั้งสองควบฝ่าความมืดในยามค่ำคืน โดยมีเดียร์ดรีเคียงข้าง และลีโออยู่ด้านล่าง ทั้งหมดเร่งความเร็วผ่านท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยหิมะทางด้านตะวันตกของอาร์โกส์เหมือนขโมยที่กำลังหนีกลางดึก พวกเขาเดินทางมาหลายชั่วโมงแล้ว เสียงฝีเท้าม้าก้องอยู่ในหูของเธอ ไคร่าหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัว เมื่อเธอจินตนาการว่าเธอจะได้เจออะไรที่ป้อมปราการแห่งเออร์ ว่าลุงของเธอจะเป็นใคร เขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับเธอบ้าง เกี่ยวกับแม่ของเธอ แล้วเธอก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ถึงอย่างนั้น เธอยอมรับว่ารู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน เพราะนี่เป็นการเดินทางบนเส้นทางอันแสนไกลข้ามเอสคาลอนที่เธอไม่เคยทำมาก่อน เธอเห็นป่าแห่งหนามรอคอยเธออยู่เบื้องหน้า พื้นที่ราบสิ้นสุดลงและในไม่ช้าพวกเขาต้องเข้าสู่พื้นที่ป่าที่ปิดทึบและเต็มไปด้วยสัตว์ที่ดุร้าย เธอรู้ดีว่ากฎเกณฑ์ทั้งหลายที่มีอยู่จะใช้ไม่ได้เลยเมื่อข้ามเข้าไปในแนวป่านี้
หิมะตีเข้าที่ใบหน้าในขณะที่ลมพัดผ่านพื้นที่โล่ง ด้วยมือที่ชาจากความหนาวเหน็บ เธอทิ้งคบไฟด้วยรู้ว่ามันไหม้จนมอดดับมาเป็นเวลานานแล้ว เธอขี่เข้าไปในความมืด หลงเข้าไปในวังวนของความคิด มีเพียงเสียงม้าและเสียงหิมะใต้ฝ่าเท้าและบางครั้งเสียงแอนดอร์คำรามเบา ๆ เท่านั้น เธอรู้สึกได้ถึงความเกรี้ยวกราด ธรรมชาติของเขาที่ไม่เชื่อง ต่างจากสัตว์ที่เธอเคยขี่มาก่อน เหมือนแอนดอร์ไม่ใช่เพียงไม่กลัวเกรงต่อสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเท่านั้น – มันยังรู้สึกอยากเผชิญหน้าเสียด้วยซ้ำ