“ข้าเลือกเจ้า รับเจ้าเข้ามาในครอบครัวด้วยเหตุผลบางอย่าง เจ้ารู้ไหมว่าคืออะไร?”
ธอร์ส่ายหน้า ต้องการรู้อย่างยิ่ง
“เจ้าไม่รู้หรือว่าทำไมข้าถึงต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าเท่านั้น ในวาระสุดท้ายของข้า?”
“ฝ่าบาทโปรดอภัย” เขาทูลเสียงสั่น “ข้าไม่รู้เลย”
ราชาแม็คกิลแย้มพระสรวลจาง ๆ พระเนตรเริ่มหรี่ลง
“มีดินแดนยิ่งใหญ่อยู่ไกลจากที่นี่ เลยแดนเถื่อนไป ไกลกว่าดินแดนแห่งมังกร มันคือดินแดนของดรูอิด นั่นเป็นที่ที่แม่เจ้าจากมา เจ้าจะต้องไปที่นั่นเพื่อหาคำตอบ”
ราชาแม็คกิลลืมพระเนตรขึ้น ทรงจ้องมองธอร์ด้วยแววตาที่ธอร์ไม่เข้าใจ
“อาณาจักรของเราขึ้นอยู่กับเรื่องนี้” พระราชาตรัสต่อ “เจ้าไม่เหมือนคนอื่น เจ้าเป็นคนพิเศษ จนกว่าเจ้าจะรู้จักตัวเอง อาณาจักรของเราจะไม่มีวันสุขสงบ”
พระราชาหลับพระเนตร ทรงหายใจอย่างเหนื่อยหอบ พระกรที่กุมข้อมือธอร์ไว้เริ่มอ่อนแรง เขารู้สึกน้ำตาไหลอาบ ใจเขาคิดถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสและพยายามจะเข้าใจมัน แต่แทบจะตั้งสติไม่ได้เลย นี่เขาได้ยินถูกต้องหรือไม่?
ราชาแม็คกิลทรงกระซิบบางอย่าง แต่เบามากจนธอร์แทบไม่ได้ยิน เขาก้มลงไปใกล้ เอียงหูเข้าใกล้พระโอษฐ์
พระราชายกพระเศียรขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย และพยายามเปล่งวาจาสุดท้ายออกมา
“แก้แค้นให้ข้า”
จากนั้นก็ทรงนิ่งไป พระองค์ประทับอยู่เช่นนั้นชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่พระเศียรจะเอียงไปด้านหนึ่ง เห็นพระเนตรเบิกค้าง
สวรรคตแล้ว
“ไม่!” ธอร์ตะโกน
เสียงร้องของเขาดังมากจนองครักษ์ได้ยิน เพราะทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออกด้านหลัง ได้ยินเสียงผู้คนกรูกันเข้ามา เขารับรู้ด้วยหางตาว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ ตัว เขารับรู้อย่างเลือนรางว่าได้ยินเสียงระฆังตีขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงระฆังดังเป็นจังหวะเดียวกับเส้นเลือดที่ขมับของเขา แต่แล้วทุกสิ่งก็เลือนรางลง ครู่ต่อมาทั้งห้องก็หมุนวน
ธอร์เป็นลมไปแล้ว เขาล้มลงฟาดกับพื้นหิน
บทที่ หก
สายลมแรงพัดต้องพระพักตร์เจ้าชายกาเร็ธ พระองค์เงยพักตร์ กระพริบเนตรไล่น้ำตาท่ามกลางแสงเรื่อแห่งอรุณรุ่ง วันนี้เพิ่งจะเริ่มต้น แต่ ณ บริเวณห่างไกลเช่นที่ริมหน้าผาโคลเวียนนี้ มีเชื้อพระวงศ์ มิตรสหาย และบรรดาข้าราชบริพารผู้รับใช้ใกล้ชิดมาชุมนุมกันอยู่หลายร้อยคน ต่างวนเวียนอยู่ไม่ห่าง ด้วยหวังจะได้มีส่วนร่วมในพิธีฝังพระศพ ไกลออกไปทางด้านหลัง เจ้าชายกาเร็ธเห็นผู้คนหลั่งไหลเข้ามา มีกองทหารคอยกันไว้พวกเขาไว้ ประชาชนนับพันคนกำลังเฝ้าดูพิธีฝังพระศพอยู่ไกล ๆ ความโศกเศร้าบนหน้าพวกเขานั้นเป็นความรู้สึกที่แท้จริง พระบิดาทรงเป็นที่รักของประชาชนอย่างแท้จริง
เจ้าชายกาเร็ธประทับยืนร่วมกับเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด ล้อมครึ่งวงกลมอยู่รอบพระศพที่ประทับอยู่ในพระโกศที่โยงไว้ด้วยเชือกเหนือหลุมดิน รอที่จะหย่อนลงไป อาร์กอนยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคน สวมเสื้อคลุมสีเลือดหมูที่สงวนไว้ใช้เฉพาะพิธีศพเท่านั้น สีหน้าของเขาเรียบเฉยขณะที่มองพระศพ ผ้าคลุมศีรษะอำพลางใบหน้าของเขาไว้ เจ้าชายกาเร็ธพยายามอย่างยิ่งที่จะอ่านสีหน้าของเขา ทรงอยากรู้ว่าอาร์กอนรู้มากน้อยเพียงใด เขารู้หรือไม่ว่าพระองค์เป็นคนปลงพระชนม์พระบิดา? และถ้ารู้ เขาจะบอกคนอื่นหรือไม่ หรือจะปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา?
เป็นโชคร้ายของเจ้าชายกาเร็ธที่ธอร์ เจ้าเด็กหนุ่มน่ารำคาญคนนั้นพ้นจากความผิด ชัดเจนว่ามันคงไม่สามารถลอบแทงพระราชาได้ขณะที่ถูกจองจำอยู่ที่คุกใต้ดิน และยิ่งพระบิดาทรงเป็นผู้บอกคนอื่น ๆ ว่าธอร์เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายลงสำหรับเจ้าชายกาเร็ธ มีการตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เพื่อพิจารณาทุกรายละเอียดของการลอบปลงพระชนม์ เจ้าชายกาเร็ธพระทัยเต้นแรงขณะที่ประทับร่วมกับคนอื่น ทอดเนตรพระศพที่กำลังถูกหย่อนลงสู่ผืนดิน พระองค์ทรงอยากจะถูกฝังลงไปด้วย
มันเป็นเพียงเงื่อนของเวลาเท่านั้นกว่าที่ร่องรอยจะสาวมาถึงเฟิร์ธ แล้วเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าชายกาเร็ธคงต้องถูกลากลงไปพร้อมกับเขาด้วย พระองค์ต้องทรงจัดการทันทีเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อป้ายความผิดไปให้คนอื่น เจ้าชายทรงกังขาว่าผู้คนที่อยู่รายรอบนี่สงสัยพระองค์หรือไม่ พระองค์คงจะทรงหวาดระแวงไปเอง เมื่อทรงลอบมองใบหน้าแต่ละคน ไม่ทรงเห็นว่ามีใครมองพระองค์อยู่ บรรดาพี่น้องของพระองค์ยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งรีซ ก็อดฟรีย์ และเคนดริค และเกว็นโดลีน น้องสาวของพระองค์ และพระมารดา พระพักตร์ของพระนางเศร้าโศก พระวรกายนิ่งขึง ที่จริงนับตั้งแต่พระบิดาสวรรคต พระมารดาทรงเปลี่ยนเป็นคนละคน แทบจะไม่ทรงรับสั่งอะไรเลย เจ้าชายกาเร็ธทรงได้ยินมาว่าตอนที่พระนางทรงทราบข่าว เกิดพระอาการบางอย่างขึ้น คล้ายอัมพฤกษ์ พระพักตร์ด้านหนึ่งแข็งเกร็ง เมื่ออ้าพระโอษฐ์ จะสามารถตรัสได้ช้ามาก
เจ้าชายกาเร็ธทรงพิจารณาใบหน้าของบรรดาสมาชิกสภาที่ยืนอยู่ด้านหลังพระมารดา บรอม แม่ทัพใหญ่ และคอล์ค ผู้นำกองทหารยุวชน ยืนอยู่ด้านหน้า ด้านหลังของทั้งสองคือเหล่าที่ปรึกษาของพระบิดา พวกนี้แสร้งทำเป็นเศร้าโศก แต่พระองค์ทรงรู้ดีว่าคนพวกนี้ บรรดาสมาชิกสภา ที่ปรึกษา และแม่ทัพทุกคน รวมถึงบรรดาขุนนางที่อยู่ด้านหลัง แทบจะไม่ได้ใส่ใจเลย พระองค์ทรงเห็นความทะเยอทะยานบนใบหน้าพวกนั้น ความกระหายต่ออำนาจ ขณะที่แต่ละคนก้มมองพระศพ เจ้าชายทรงรู้สึกว่าพวกเขากำลังสงสัยว่าใครจะได้กุมบัลลังก์เป็นคนต่อไป
นั่นเป็นความคิดคำนึงที่พระองค์เองกำลังมีอยู่เช่นกัน จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากการลอบปลงพระชนม์ที่วุ่นวายนี้? หากว่ามันสะดวกเรียบร้อยดี และโยนความผิดให้แก่ผู้อื่นได้ แผนการของเจ้าชายกาเร็ธก็คงจะสมบูรณ์แบบ บัลลังก์จะตกเป็นของพระองค์ ถึงยังไงพระองค์ก็เป็นโอรสองค์โตที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้พระบิดาจะเลือกเกว็นโดลีน แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ยกเว้นบรรดาพี่น้องของพระองค์ ซึ่งพระประสงค์ของพระบิดายังไม่ได้รับการยืนยัน เจ้าชายทรงรู้จักสมาชิกสภาดี พวกนี้ยึดถือกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากไม่มีการเห็นชอบ ขนิษฐาของพระองค์ไม่มีทางได้ครองราชย์
ซึ่งนั่นจะนำมาสู่พระองค์ หากมีการพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งเจ้าชายก็หวังให้เป็นเช่นนั้น บัลลังก์จะต้องเป็นของพระองค์อย่างแน่นอน ตามกฎหมายบัญญัติ
เจ้าชายกาเร็ธไม่แปลกพระทัยหากบรรดาพี่น้องจะแย้งเรื่องนี้ พวกนั้นคงจะอ้างถึงการเข้าเฝ้าพระบิดาในวันนั้น และคงจะยืนยันให้เกว็นโดลีนได้ครองราชย์ เคนดริคคงจะไม่แย่งชิงอำนาจเพื่อตัวเอง เขาจิตใจดีเกินไป ก็อดฟรีย์ก็ไม่แยแสอะไร ส่วนรีซก็ยังเด็กมาก เกว็นโดลีนจึงเป็นก้างเพียงชิ้นเดียว แต่เจ้าชายกาเร็ธทรงมองในแง่ดี พระองค์ไม่คิดว่าสภาพร้อมที่จะให้สตรี ยิ่งวัยรุ่นด้วยแล้วขึ้นครองอาณาจักรวงแหวน และเมื่อไม่มีสัตยาบันจากพระราชา พวกเขาจะต้องถือเป็นข้ออ้างที่จะตัดสิทธิ์ของนาง
สำหรับเจ้าชายกาเร็ธแล้ว ภัยที่แท้จริงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือเคนดริค ในขณะที่พระองค์เป็นที่เกลียดชังของประชาชน เคนดริคกลับเป็นที่รักของพวกสามัญชนและทหาร หากพิจารณาเรื่องนี้แล้ว มีโอกาสที่สภาจะมอบบัลลังก์ให้แก่เคนดริค ยิ่งพระองค์ทรงได้อำนาจมาเร็วเท่าใด พระองค์ก็จะสามารถใช้อำนาจนั้นกำจัดเคนดริคได้เร็วยิ่งขึ้น
เจ้าชายกาเร็ธทรงรู้สึกถูกกระตุกที่พระกร เมื่อทอดเนตรมองก็เห็นปมเชือกสีที่พระกร จึงรู้ว่าพวกเขาเริ่มหย่อนพระโกศลงไปแล้ว พระองค์ทอดเนตรพี่น้องคนอื่น แต่ละคนจับเชือกไว้เช่นเดียวกับพระองค์ และค่อย ๆ ผ่อนเชือกลงไป
ช้า ๆ เชือกด้านพระองค์เอียง เนื่องจากทรงช้ากว่าคนอื่น ๆ จึงรีบใช้พระกรอีกข้างช่วยดึงเชือกจนได้ระดับในที่สุด ช่างน่าขัน แม้กระทั่งบิดาสวรรคตแล้ว พระองค์ก็ยังไม่สามารถทำให้ทรงพอพระทัยได้
เสียงระฆังดังขึ้นไกล ๆ จากปราสาท อาร์กอนก้าวไปข้างหน้า แล้วยกมือขึ้น
“อิทโซ โอมินุส โดมิ โค เรเซเปีย...”
ภาษาที่สูญหายไปแล้วของอาณาจักรวงแหวน เป็นภาษาแห่งราชวงศ์ ที่บรรพบุรุษทรงใช้กันมาหลายพันปี เป็นภาษาที่พระอาจารย์ประจำพระองค์ปลูกฝังมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และเป็นภาษาที่ทรงต้องรู้หากจะกุมพระราชอำนาจ
จู่ ๆ อาร์กอนก็หยุด เงยหน้าแล้วหันมาจ้องเจ้าชายกาเร็ธ พระองค์ทรงรู้สึกเย็นวาบไปตามสันหลัง เมื่อดวงตาฝ้ามัวของอาร์กอนจ้องมองราวกับแผดเผา เจ้าชายพระพักตร์แดง และทรงสงสัยว่าทั้งอาณาจักรกำลังดูอยู่หรือไม่ และมีใครรู้ความหมายหรือไม่ เจ้าชายทรงรู้สึกจากสายตาที่มองมา ว่าอาร์กอนรู้ว่าพระองค์มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่อาร์กอนเป็นคนลึกลับ มักปฏิเสธที่จะข้องเกี่ยวกับความคดเคี้ยวของชะตากรรมของมนุษย์ เขาจะเงียบไว้หรือไม่?
“ราชาแม็คกิลทรงเป็นราชาที่ประเสริฐ” อาร์กอนกล่าวช้า ๆ น้ำเสียงแหบต่ำฟังประหลาด
“พระองค์ทรงนำความภาคภูมิและเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษ ทรงนำความมั่งคั่งและสันติสุขมาสู่อาณาจักร อย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยทำได้ ทรงสวรรคตก่อนเวลาอันควร ทรงเสด็จไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว แต่สิ่งที่พระองค์ทรงทิ้งไว้เบื้องหลังคือมรดกอันมั่งคั่ง ตอนนี้ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนที่จะเติมเต็มมรดกอันมั่งคั่งนั้น”
อาร์กอนเว้นจังหวะ
“อาณาจักรวงแหวนของพวกเราแวดล้อมด้วยภยันตรายรอบด้าน เบื้องหลังหุบเขาที่มีโล่พลังปกป้องพวกเราไว้นั้น มีพวกคนเถื่อนและสัตว์ประหลาดที่ต้องการจะฉีกเราเป็นชิ้น ๆ ขณะที่ภายในอาณาจักรวงแหวนนี้ ที่อีกฟากของเขตภูเขาสูง ก็มีชนชาติที่ประสงค์ร้ายต่อเรา พวกเราอาศัยอยู่ในดินแดนที่สงบสุขและรุ่งโรจน์อย่างหาใครเทียบไม่ได้ แต่ความมั่นคงนั้นอยู่ไม่นาน
“ทำไมพระเจ้าทรงพรากพระราชาผู้ประเสริฐและทรงมีอัจฉริยภาพ ผู้ซึ่งกำลังมีชีวิตอันรุ่งโรจน์ไปจากพวกเรา? ทำไมพระองค์ทรงถูกกำหนดให้สวรรคตด้วยวิธีนี้? เราทุกคนต่างก็เป็นเพียงหมากบนกระดาน เป็นหุ่นกระบอกในกำมือของโชคชะตา แม้จะยิ่งใหญ่เพียงใด เราก็ถูกแผ่นดินกลบหน้าเช่นกัน คำถามที่เราต้องยึดถือไว้ ไม่ใช่ว่าเรากำลังพยายามเพื่ออะไร แต่เราพยายามจะเป็นใครต่างหาก”
อาร์กอนก้มศีรษะ เจ้าชายกาเร็ธทรงรู้สึกพระกรร้อนขณะที่ทุกคนค่อย ๆ หย่อนพระโกศลงไป ในที่สุดพระโกศก็กระทบพื้นดินเบื้องล่าง