เขามองไปรอบๆอย่างช้าๆและเก็บรายละเอียดที่เกิดเหตุ มันเป็นพื้นที่ปกคลุมด้วยป่าทึบที่เป็นต้นสนกับต้นซีดาร์ทั้งหมดและส่วนมากก็เป็นพงไม้เตี้ยๆที่มีลำธารไหลเป็นฟองอย่างสงบพาดผ่านไปยังแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ ถึงตอนนี้จะอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน แต่วันนี้มันคงไม่ร้อนมากไปกว่านี้แล้ว ศพคงยังไม่น่าจะเน่าเร็วในทันที ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันคงจะเป็นการดีที่สุดหากจะเคลื่อนย้ายศพออกจากที่นี่และส่งไปที่ควอนติโก้ เจ้าหน้าที่นิติเวชที่นั่นคงอยากจะตรวจดูตอนที่ศพมันยังร้อนๆอยู่ รถบรรทุกเจ้าหน้าที่นิติเวชชันสูตรเข้ามาจอดบนถนนลูกรังด้านหลังรถตำรวจ เพื่อจะรอรับกลับแล้ว
ถนนไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่าทางลาดยางคู่ขนานไปจนสุดป่า เจ้าฆาตกรต้องใช้เส้นทางนี้ขับรถไปมาเกือบจะแน่นอน มันต้องขนศพระยะทางสั้นๆผ่านทางแคบๆมาจนถึงจุดนี้ จัดการจัดวางท่าและก็หนีไป มันคงไม่ได้อยู่นาน ถึงแม้ว่าที่แถวนี้จะดูเหมือนไม่ค่อยมีคนอยู่อาศัย แต่หน่วยลาดตระเวนตรวจพื้นที่แถวนี้เป็นประจำ แถมรถภายนอกก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาใช้ถนนนี้ด้วย มันตั้งใจให้คนมาเจอศพและดูจะภูมิใจกับผลงานของตัวเองมาก
แล้วศพก็ ถูกพบ โดยกลุ่มคนที่ขี่ม้าผ่านมาในตอนเช้าตรู่ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เช่าม้าขี่ หัวหน้ากองกำลังพิเศษได้บอกบิลไว้แบบนั้น พวกเขาเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอาร์ลิงตั้นอาศัยอยู่ที่คอกม้าแบบตะวันตกถูกๆนอกเมืองยาร์เนล หัวหน้ากองบอกว่าพวกเขากำลังหัวเสียกันนิดหน่อยเลยตอนนี้ เพราะโดนบอกห้ามออกนอกเมือง และบิลก็วางแผนไว้ว่าจะไปสอบถามพวกเขาหลังจากนี้
มันดูแทบไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรแวดล้อมศพในบริเวณพื้นที่แถวนี้เลย เจ้าหมอนั่นมันจัดการอย่างระมัดระวังมาก มันต้องลากอะไรบางอย่างไว้ด้านหลังตัวเองตอนขากลับจากลำธาร – ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นพลั่วนะ – เพื่อจะลบร่องรอยของรอยเท้า ไม่มีเศษซากของอะไรเหลือทิ้งไว้ทั้งนั้นไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ รอยล้อยางบนพื้นถนนน่าจะโดนทำลายจนสิ้นซากหมดแล้วโดยรถขนส่งตำรวจและเจ้าหน้าที่นิติเวชชันสูตร
บิลถอนหายใจกับตัวเอง
บ้าเอ้ย เขานึกด่าในใจ ไรล์ลี่หายตัวไปอยู่ไหนนะเวลาที่ฉันต้องการเธอ
คู่หูและเพื่อนสนิทอันยาวนานของเขาโดนสั่งพักงานโดยไม่สมัครใจ เพื่อให้ไปรักษาตัวจากบาดแผลที่ได้มาจากการทำคดีล่าสุดของทั้งคู่ ถูกแล้ว คดีนั้นมันโหดสุดๆไปเลย เธอต้องการเวลานอก และอาจต้องยอมรับความจริงว่าเธออาจไม่ได้กลับมาอีก
แต่บิลก็ต้องการเธอจริงๆในเวลานี้ ไรล์ลี่นั้นฉลาดกว่าเขามากและตัวเขาเองก็ไม่มายด์ที่จะยอมรับในเรื่องนี้ เขาชอบดูวิธีการคิดเวลาทำคดีของเธอ เขาลองนึกภาพเธอเก็บข้อมูลซีนที่เกิดเหตุนี้ ในทุกรายละเอียดทุกเม็ด ถึงตอนนี้เธอคงต้องล้อเขาแล้วที่มองไม่เห็นร่องรอยที่แสนจะชัดเจนราวกับประเคนอยู่ตรงหน้าแบบนี้
อะไรที่คิดว่าไรล์ลี่จะค้นพบในขณะที่เขามองข้าม?
เขารู้สึกไปไม่เป็น และเขาก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้วตอนนี้
“เอาหละ พวกคุณ” บิลตะโกนออกไปบอกตำรวจคนอื่นๆ “เคลื่อนย้ายศพได้”
ตำรวจพวกนั้นหัวเราะและแปะมือกันรัวๆ
“คุณว่ามันจะก่อเหตุอีกมั้ย?” สเปลเบร็นถามขึ้นมา
“แหงอยู่แล้ว” บิลตอบ
“คุณรู้ได้ยังไง?”
บิลหายใจเข้ายาวก่อนตอบ
“เพราะผมเคยเห็นผลงานมันมาก่อนน่ะสิ”
บทที่ 2
“มันแย่ลงทุกวันสำหรับเธอ” แซม ฟลอเรส พูดขึ้น พร้อมดึงอีกภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าขึ้นมาบนจอโปรเจ็คเตอร์ผ่านเลนส์เครื่องฉายมัลติมีเดียที่ห้อยอยู่เหนือโต๊ะประชุม “ไล่มาจนถึงตอนที่มันเก็บเธอเลย”
บิลก็เดาไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ยังเกลียดที่เขาคิดถูก
องค์กรได้ส่งร่างของเธอไปที่หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรในควอนติโก้ หน่วยนิติเวชได้ถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว และได้เริ่มดำเนินการตรวจวิจัยในห้องแล็ปแล้ว ฟลอเรส,เจ้าหน้าที่ห้องแล็ปสวมแว่นขอบสีดำ, เปิดหน้าสไลด์อันน่าสยดสยองต่อไปเรื่อยๆ และตอนนี้จอภาพโปรเจ็คเตอร์ขนาดมหึมาในห้องประชุมของหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะเหลือบมอง
“เธอเสียชีวิตมานานเท่าไหร่ก่อนศพจะถูกพบ?” บิลถามขึ้น
“ไม่นาน” เขาตอบ “อาจจะประมาณช่วงค่ำของวันก่อนหน้า”
ข้างๆบิลนั้น สเปลเบร็นก็นั่งอยู่ด้วย เขาบินมาควอนติโก้กับบิลหลังกลับจากยาร์เนล ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะนั้นคือหัวหน้าทีม เจ้าหน้าที่พิเศษ เบรนท์ เมอเรดิธ เมอเรดิธลุกขึ้นยืนบดบังภาพสุดสลดด้วยร่างกายกว้างใหญ่กำยำและด้วยรูปหน้าเป็นเหลี่ยมขึงขังเอาจริง ไม่ใช่ว่าบิลจะกลัวเขาหรอกนะ – ไม่เลยแม้แต่น้อย เขาอยากจะคิดว่าเรามีอะไรที่คล้ายๆกันมากกว่า เขาทั้งสองผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชนและต่างก็เห็นโลกมาหมดแล้ว
ฟลอเรสเปิดภาพแบบซูมอินที่บาดแผลของเหยื่อติดต่อกันหลายภาพ
“บาดแผลทางด้านซ้ายนั้นโดนมาซักพักแล้ว” เขากล่าว “ส่วนบาดแผลทางด้านขวานั้นเพิ่งได้รับมา บางแผลก็เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆไม่กี่ชั่วโมงหรือแม้กระทั่งไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะรัดคอเธอด้วยริบบิ้น ดูเหมือนฆาตกรจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆระหว่างช่วงประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่เขาจับเธอมา การหักแขนของเธอคงเป็นการลงมือรอบสุดท้ายในระหว่างที่เธอยังมีชีวิต” “ร่องรอยบาดแผลสำหรับผมมันดูเหมือนฝีมือของผู้ต้องสงสัยคนนึง” เมอเรดิธบอกสิ่งที่สังเกต “ดูจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น่าจะเป็นฝีมือผู้ชาย มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมั้ย?”
“ดูจากรอยจิ้มเล็กๆบนหนังศีรษะ สันนิษฐานว่าเธอคงจะถูกโกนหัวสองวันก่อนโดนฆาตกรรม” ฟลอเรสอธิบายต่อ “วิกผมนั้นก็เป็นเศษจากวิกผมราคาถูกหลายๆอันมาเย็บต่อกัน คอนแท็คเลนส์นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะสั่งซื้อแบบจัดส่งไปรษณีย์มา แล้วอีกอย่าง” เขาหยุดมองไปที่หน้าทุกคน พูดอย่างลังเล “มันทาตัวเธอด้วยวาสลีน”
บิลรู้สึกได้ถึงระดับความตึงเครียดในห้องประชุมที่ค่อยเพิ่มมากขึ้น
“วาสลีนเหรอ?” เขาถาม
ฟลอเรสพยักหน้า
“เพื่ออะไร?” สเปลเบร็นถามบ้าง
ฟลอเรสยักไหล่และตอบ
“นั่นเป็นหน้าที่ของคุณ”
บิลนึกย้อนไปถึงนักท่องเที่ยวสองคนที่เขาสอบสวนเมื่อวาน พวกเขาช่วยอะไรไม่ได้เลย ตัดสินใจไม่ได้ระหว่างความอยากรู้อยากเห็นอันไม่สมควรกับความหวาดวิตกกับสิ่งที่ได้พบเจอมา พวกเขากุลีกุจอที่จะกลับไปบ้านที่อาร์ลิงตั้นและเราก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะคุมตัวพวกเขาไว้ได้ พวกเขาโดนสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ จนครบทุกคนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังระวังตัวไม่ปริปากบอกออกมาว่าได้เห็นอะไรมาบ้าง
เมอเรดิธถอนหายใจและวางมือทั้งสองลงบนโต๊ะ
“ทำได้ดีมาก ฟลอเรส” เมอเรดิธกล่าวชม
ฟลอเรสดูซาบซึ้งกับคำชม—ระคนความแปลกใจด้วยนิดหน่อย เบรนท์ เมอเรดิธไม่ใช่คนที่จะชมอะไรใครง่ายๆ
“เอาหละ เจ้าหน้าที่พิเศษเจฟฟรี่ส์” เมอเรดิธหันหน้ามาทางเขา “อธิบายให้เราฟังหน่อยสิว่ามันมีความเกี่ยวพันกับคดีเก่าของคุณยังไง”
บิลสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอนหลังพิงที่พนักเก้าอี้
“ประมาณเมื่อหกเดือนก่อน” เขาเริ่มสาธยาย “อันที่จริงก็ประมาณวันที่ 16 ธันวาคม – ศพของ เอลีน โรเจอร์ส ถูกพบในฟาร์มใกล้เมืองแด็กเก็ตต์ ผมถูกเรียกตัวให้เข้าสืบสวนด้วยกันกับคู่หูของผมคือ ไรล์ลี่ เพจ อากาศวันนั้นมันหนาวจับจิต และสภาพศพก็แข็งราวกับหิน มันยากที่จะบอกได้ว่าศพถูกทิ้งไว้ที่นั่นนานเท่าไหร่แล้ว และเวลาที่เหยื่อเสียชีวิตก็ไม่เคยได้รับการยืนยันแน่ชัด ฟลอเรส ช่วยแชร์ข้อมูลให้พวกเขาดูหน่อย”
ฟลอเรสหันกลับไปที่หน้าแผ่นสไลด์ ในจอภาพถูกแยกเป็นหน้าต่างย่อยออกมาและข้างๆรูปที่เปิดค้างไว้อยู่แล้ว เผยให้เห็นรูปภาพเซ็ตใหม่ที่เพิ่งถูกเรียกขึ้นมา รูปของเหยื่อทั้งสองถูกวางเทียบข้างกัน บิลอ้าปากหวอ มันยอดไปเลย นอกเหนือจากเนื้อที่แข็งเป็นหินของศพนึงแล้ว ศพทั้งสองนั้นแทบจะมีสภาพเหมือนกัน บาดแผลแทบไม่ต่างกันเลย หญิงสาวทั้งสองโดยเย็บตาเปิดไว้ในสภาพน่าอนาถเหมือนกัน
บิลถอนหายใจ เห็นรูปพวกนี้แล้วทุกอย่างก็พรั่งพรูกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติภารกิจมาแล้วกี่ปี แต่เห็นรูปเหยื่อทีไรก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจ
“ศพของโรเจอร์สถูกพบในท่านั่งหลังตรงพิงอยู่กับต้นไม้” บิลเล่าต่อ เสียงของเขานั้นดูจริงจังมากขึ้น “ไม่ได้จัดท่าเป็นระเบียบเรียบร้อยขนาดเหยื่อในคดีที่โมวส์บี้พาร์ค ไม่มีคอนแท็คเลนส์หรือวาสลีน แต่รายละเอียดส่วนมากนั้นเหมือนกันทุกประการ ผมของโรเจอร์สโดนหั่นสั้น ไม่ได้ถูกโกนผม แต่สภาพวิกผมที่เอามาเย็บต่อๆกันนั้นเหมือนกัน เธอโดนรัดคอด้วยริบบิ้นสีชมพูเหมือนกัน และดอกกุหลาบพลาสติกก็ถูกพบวางอยู่ด้านหน้าศพของเธอ”
บิลหยุดเล่าชั่วครู่ เขาไม่อยากจะพูดสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปเลย
“เพจกับผมปิดคดีนี้ไม่สำเร็จ”
สเปลเบร็นหันมาทางเขา
“มีปัญหาอะไรเหรอ” เขาถามขึ้น
“แล้วอะไรหล่ะที่ไม่ได้เป็นปัญหา?” บิลย้อนกลับ รีบปกป้องตัวเองอย่างไม่จำเป็นเลย “เราไม่เคยได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย พวกเราไม่มีพยาน ครอบครัวของเหยื่อไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ โรเจอร์สเองก็ไม่มีศัตรูที่ไหน ไม่มีสามีเก่า ไม่มีแฟนขี้หึง มันไม่มีเหตุผลอะไรรองรับการที่เธอกลายมาเป็นเป้าหมายและถูกสังหารเลย คดีก็เลยโดนเก็บเข้ากรุไปในทันที”
บิลรู้สึกถึงความเงียบงัน ความคิดในแง่ลบถาโถมเข้ามาในสมองของเขา
“อย่าคิดแบบนั้น” เมอเรดิธพูดในเสียงที่อ่อนโยนในแบบที่ไม่ใช่ลักษณะของเขา “มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ยังไงซะ คุณก็ไม่สามารถจะหยุดการฆาตกรรมรายใหม่ได้หรอก”
บิลรู้สึกขอบคุณกับคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอย่างแรง ทำไมเขาถึงไขคดีนั้นไม่สำเร็จนะ? ทำไมไรล์ลี่ถึงแก้ปมไม่ได้นะ? มันก็มีหลายครั้งในอาชีพเหมือนกันที่เขารู้สึกใบ้รับประทาน
ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเมอเรดิธก็ดังขึ้น และเขากดรับสาย
เกือบจะเป็นสิ่งแรกที่เขาเอ่ยออกมา คือคำว่า “ตายห่าแล้ว”
เค้าพูดซ้ำๆอีกหลายครั้ง และถามกลับว่า “คุณแน่ใจนะว่าเป็นเธอ?” เขาหยุดไปชั่วอึดใจหนึ่ง “มีการติดต่อเรื่องเงินค่าไถ่มาแล้วรึยัง”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปนอกห้องประชุม ปล่อยให้สามหนุ่มนั่งอยู่ในความเงียบด้วยความงุนงง หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็กลับเข้ามา ดูแก่ลงไปเลย