เธอสะอื้นน้ำตา
“ฉันกลัว บิล” เธอบอก “ฉันกลัวมาก ตลอดเวลา กลัวทุกอย่าง”
บิลรู้สึกหัวใจหล่นลงไปที่เท้าเห็นเธอเป็นแบบนี้ เค้าประหลาดใจว่าไรล์ลี่คนเดิมหายไปไหน คนเดียวที่เขายอมรับว่าแกร่งยิ่งกว่าตัวเขา ที่พึ่งพิงที่เขาไปหาเสมอในยามมีปัญหา เขาคิดถึงเธอมากกว่าคำใดๆ
“มันตายไปแล้ว ไรล์ลี่” เขาพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่เขาจะรวบรวมได้ “มันทำอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว”
เธอส่ายหน้า
“คุณวางใจไม่ได้หรอก”
“ได้สิ” เขาตอบ “พวกเขาเจอศพมันหลังเหตุการณ์ระเบิด”
“แต่พวกเขาก็ระบุไม่ได้ว่าศพเป็นของใคร” เธอว่าต่อ
“คุณก็รู้ว่าเป็นศพมันนั่นแหละ”
เธอก้มหน้าพร้อมปิดหน้าด้วยมือหนึ่งขณะที่ร้องไห้ เขาเอื้อมมือไปจับมืออีกข้างของเธอ
“นี่เป็นคดีใหม่” เขาบอก “มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดกับคุณ”
เธอส่ายหัว
“นั่นไม่ใช่ประเด็น”
เธอยกมือขึ้นช้าๆทั้งที่ยังร้องไห้อยู่ มองหน้าไปทางอื่นพร้อมกับยื่นเอกสารคืนเขา
“ฉันขอโทษด้วย” เธอกล่าวพร้อมก้มหน้าส่งเอกสารคืนเขาด้วยมือที่สั่นเทา “ฉันว่าคุณควรกลับไปก่อน” เธอกล่าวต่อ
บิลตกใจ เสียใจ และเอื้อมมือไปรับเอกสารคืน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องจะออกมาในรูปนี้
เขานั่งต่ออีกครู่หนึ่ง พยายามกลั้นน้ำตาของตัวเอง ในที่สุด เขาลูบมือเธออย่างแผ่วเบาและลุกขึ้นจากโต๊ะพร้อมเดินกลับ ผ่านออกไปในตัวบ้าน เอพริลยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น หลับตาและพยักหน้าไปกับเสียงเพลงที่เธอฟัง
*
ไรล์ลี่ยังนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่โต๊ะปิคนิคหลังบิลกลับออกไปแล้ว
ฉันคิดว่าฉันโอเคแล้วซะอีก เธอคิดในใจ
เธออยากจะให้บิลเห็นว่าเธอโอเคแล้วจริงๆนะ แล้วเธอก็คิดว่าเธอคงแสดงให้เขาเห็นได้จริงๆ มันก็โอเคน่ะตอนที่นั่งอยู่ในครัวคุยกันเรื่องจิปาถะ แล้วพอตอนที่ออกไปด้านนอกที่เธอได้ดูเอกสารเธอก็คิดว่าเธอน่าจะรับได้เหมือนกัน ยิ่งกว่ารับได้นะจริงๆแล้ว เธอหมกมุ่นในการอ่านเอกสารเลยหละ ความอยากกลับไปทำงานมันกลับมา เธออยากกลับออกไปปฏิบัติหน้าที่ เธอคิดจัดแบ่งเรื่องราวอยู่ในหัว แน่นอน ก็คิดถึงคดีฆาตกรรมพวกนั้นในรายละเอียดที่เกือบจะเหมือนกันให้เป็นจิ๊กซอว์ที่ต้องแก้ คิดเกือบจะตามหลักวิชาการ เป็นเกมส์ท้าทายกึ๋น นั่นเธอก็รับได้เหมือนกัน นักบำบัดบอกเธอว่าจะต้องรับมือกับมันให้ได้หากคิดอยากจะกลับไปทำงาน
แต่แล้วก็ไม่รู้เพราะอะไร ไอ้เจ้าจิ๊กซอว์พวกนั้นมันกลายเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น – โศกนาฏกรรมของปีศาจที่ใช้ความรุนแรงคร่าชีวิตหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างเจ็บปวดและทรมานแบบหาที่เปรียบไม่ได้ถึงสองคน และนั่นทำให้เธออยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่า: พวกเธอโดนกระทำแย่เท่ากับที่ฉันโดนมั้ย?
ตอนนี้ตัวเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวั่นวิตก เช่นเดียวกันกับความรู้สึกอายและละอายแก่ใจ บิลเป็นคู่หูและเพื่อนสนิทของเธอ เธอติดค้างเขาไว้มาก เขาอยู่เคียงข้างเธอตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในขณะที่ไม่มีใครจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เธอคงผ่านช่วงเวลาในโรงพยาบาลนั้นมาไม่ได้หากไม่มีเขา สิ่งสุดท้ายที่เธออยากให้เกิดคือการที่เขาได้มาเห็นเธอในสภาพสิ้นหวังแบบนี้
เธอได้ยินเสียงเอพริลตะโกนมาจากประตูหลัง
“แม่ เราต้องกินข้าวเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่งั้นหนูไปสายแน่”
เธออยากจะตะโกนกลับไปว่า “ก็หัดทำกินเองมั่งสิ!”
แต่เธอก็ไม่ได้ทำ เธอเหนื่อยมานานกับการทำสงครามกับเอพริล ตอนนี้เธอไม่อยากจะเอาชนะแล้ว
เธอลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว ดึงกระดาษเช็ดมือออกมาจากม้วนเพื่อเช็ดน้ำตาและสั่งน้ำมูกเพื่อเตรียมทำใจทำกับข้าวต่อ ไรล์ลี่พยายามนึกถึงคำพูดของนักบำบัด: แม้แต่หน้าที่ซ้ำซากจำเจยังต้องการการรวบรวมสติ อย่างน้อยก็เพียงสักครู่หนึ่ง เธอต้องทำใจที่จะทำอะไรด้วยการเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆทีละก้าว
เริ่มแรกคือหยิบของออกมาจากตู้เย็น – ตามด้วยถาดไข่, ถุงใส่เบคอน, ถาดเนย, ขวดแยม, เอพริลชอบกินแยมในขณะที่ตัวเธอนั้นไม่ชอบ ขั้นตอนก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงการวางเบคอนหกแผ่นลงบนกระทะเหนือเตาแก๊ส และเธอก็เปิดแก๊ส
เธอโซเซถอยหลังไปหลังจากที่เห็นเปลวไฟสีเหลืองฟ้า เธอหลับตา แล้วเรื่องเก่าๆก็โถมกลับเข้ามาหาเธออีกครั้ง
ไรล์ลี่นอนอยู่ในช่องใต้พื้นบ้าน พื้นที่แคบๆ ในห้องขังที่สร้างแบบสุกเอาเผากิน คบเพลิงน้ำมันโพรเพนเป็นแสงสว่างเดียวที่เธอเคยได้เห็น เวลาส่วนมากเธอใช้ไปกับความมืดมิด ด้านล่างพื้นของช่องแคบใต้บ้านนี้เป็นดินแดง แผ่นกระดานเหนือศีรษะเธอมันอยู่ต่ำมากจนเธอแทบจะนั่งยองๆไม่ได้
ความมืดมิดปกคลุมทั่วไปหมด เธอมองไม่เห็นเขาแม้กระทั่งตอนที่เขาเปิดประตูเล็กๆนั่นและคืบผ่านเข้ามาในช่องแคบนี้ แต่เธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงคำรามออกจมูกของเขา เขาปลดล็อคเพื่อเปิดห้องขังพร้อมกับปีนเข้ามาภายใน
และแล้วก็จะมาจุดคบเพลิงตรงนั้น เธอพอจะมองเห็นหน้าอันอัปลักษณ์และโหดเหี้ยมของเขาข้างแสงไฟนั่น เขาชอบเอาจานอาหารบ้าๆมายั่วเธอ หากเธอเอื้อมมือจะไปหยิบแล้วล่ะก็ เธอก็จะเจอกับคบเพลิงที่เขาจะสาดมา เธอจะไม่ได้กินอะไรหากไม่ยอมโดนไฟลวก…
ไรล์ลี่เปิดเปลือกตาขึ้น ภาพมันจะดูเลือนลางหากเธอลืมตา แต่เธอก็ไม่สามารถเอาความทรงจำพวกนี้ออกไปจากมโนสำนึกได้ เธอจัดการอาหารเช้าต่อไปเหมือนหุ่นยนต์ อดรินาลีนตอนนี้แผ่เต็มทั่วร่าง ในขณะที่กำลังจะเอาจานอาหารไปวางที่โต๊ะกินข้าว ลูกสาวก็ตะโกนเข้ามาอีกรอบ
“แม่ อีกนานมั้ยเนี่ย?”
เธอสะดุ้งจนทำจานหลุดมือหล่นลงแตกกระจาย
“เกิดอะไรขึ้น?” เอพริลตะโกนเข้ามาแล้วมาโผล่อยู่ข้างเธอ
“ไม่มีอะไร” ไรล์ลี่ตอบ
เธอจัดการทำความสะอาด ระหว่างที่เธอและเอพริลนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันนั้น ความเงียบจากอาการต่อต้านก็เข้าปกคลุมเป็นเรื่องปกติ ไรล์ลี่เคยอยากจะจบไอ้วัฏจักรแบบนี้เลยเคยลองพูดแทรกความเงียบขึ้นมาหาเอพริลว่า เอพริล นี่แม่เองนะ และแม่ก็รักหนูนะ แต่เธอเคยลองมาหลายครั้งแล้ว และมันก็ทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม ลูกสาวของเธอเกลียดเธอ และเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไม – หรือจะจบมันได้ยังไง
“วันนี้ลูกจะทำอะไรบ้าง” เธอถามเอพริล
“แม่ว่าไงหล่ะ” เอพริลตอบสะบัด “ก็ไปเรียนน่ะสิ”
“แม่หมายถึงหลังจากนั้น” ไรล์ลี่ตอบด้วยเสียงราบเรียบและห่วงใย “แม่เป็นแม่ของลูก แม่อยากจะรู้ มันเป็นเรื่องปกติ”
“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับชีวิตเราที่ปกติ”
ทั้งสองกินข้าวต่อภายใต้ความเงียบไปอีกอึดใจ
“ลูกไม่เคยเล่าอะไรให้แม่ฟังเลย” ไรล์ลี่พูดขึ้น
“แม่ก็ไม่เคยเล่าอะไรเหมือนกัน”
และนั่น ก็สิ้นสุดความหวังใดๆว่าแม่ลูกจะมีบทสนทนากันต่อจากนี้
ก็ยุติธรรมดีแล้ว ไรล์ลี่คิดอย่างขมขื่น มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ มากกว่าที่เอพริลคิดซะอีก เธอไม่เคยบอกเอพริลเกี่ยวกับงานของเธอเลย ไม่ว่าจะคดีต่างๆหรืออะไร เธอไม่เคยบอกเอพริลเรื่องที่เธอถูกจับตัวไป หรือที่เธอเข้าโรงพยาบาล หรือเรื่องที่ทำไมเธอถึงอยู่ในช่วง “พักร้อน” ตอนนี้ สิ่งที่เอพริลรู้มีเพียงแค่ว่าเธอต้องไปอยู่กับพ่อตลอดเวลาในช่วงนั้น และเธอก็เกลียดพ่อของเธอมากกว่าที่เกลียดไรล์ลี่ซะอีก แต่ไม่ว่าไรล์ลี่อยากจะเล่าให้เธอฟังแค่ไหน เธอคิดว่ามันเป็นการดีที่สุดแล้วสำหรับเอพริลที่ไม่ต้องรู้ว่าแม่ของเธอประสบกับอะไรมา
ไรล์ลี่แต่งตัวขับรถไปส่งเอพริลที่โรงเรียน ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันเลย พอเอพริลลงจากรถ เธอก็ตะโกนไล่หลังไปว่า “แล้วเจอกันตอนสิบโมง”
เอพริลโบกมือส่งๆมาให้เธอแล้วเดินจากไป
ไรล์ลี่ขับรถไปที่ร้านขายกาแฟใกล้ๆ ซึ่งกลายเป็นกิจวัตรของเธอไปแล้ว มันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอในการที่จะต้องใช้เวลาอยู่ในที่สาธารณะ แต่เธอก็รู้ดีว่าทำไมนั่นถึงเป็นสิ่งที่เธอจำเป็นต้องทำให้ได้ ร้านกาแฟเป็นร้านเล็กๆลูกค้าไม่เยอะแม้ว่าจะเป็นเวลาเช้าๆแบบนี้ ทำให้เธอไม่รู้สึกเหมือนโดนคุกคามซักเท่าไหร่
ระหว่างที่เธอนั่งจิบคาปูชิโน่อยู่นั้นเอง เธอก็นึกไปถึงคำขอร้องของบิลอีก ให้ตายเหอะ นี่มันหกอาทิตย์มาแล้ว มันต้องเปลี่ยนได้แล้ว ตัวเธอ ต้องเปลี่ยนได้แล้ว เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำยังไง
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว เธอรู้แล้วว่าเธอต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก
บทที่ 4
แสงสีขาวจากคบเพลิงน้ำมันโพรเพนนั้นถูกส่ายไปมาอยู่ข้างหน้าไรล์ลี่ เธอต้องหลบหน้าหลบหลังเพื่อหนีให้พ้นจากการโดนลวก แสงสว่างจ้าทำให้เธอมองอะไรอย่างอื่นไม่เห็น รวมถึงตอนนี้เธอก็มองไม่เห็นหน้าคนที่จับตัวเธอมาแล้วด้วย ขณะคบเพลิงนั้นถูกส่ายไปมามันก็ทิ้งเศษลูกไฟไว้ในอากาศ
“พอแล้ว!” เธอตะโกน “พอได้แล้ว!”
เสียงของเธอแหบพร่าไปหมดจากการตะโกน เธอก็สงสัยเหมือนกันว่าเธอจะเปลืองน้ำลายทำไม เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่ามันคงไม่หยุดทรมานเธอจนกว่าเธอจะตายนั่นแหละ
ทันใดนั้น เขาหยิบแตรอากาศขึ้นมาบีบเข้าใส่ในรูหูของเธอ
เสียงแตรรถดังลั่น ไรล์ลี่สะบัดความคิดกลับมาปัจจุบัน ในขณะที่มองออกไปเห็นไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถยาวเป็นหางว่าวติดอยู่ด้านหลังรถของเธอ เธอจึงเหยียบคันเร่ง
ฝ่ามือยังชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไรล์ลี่ไล่ความทรงจำออกจากหัวพร้อมกับเตือนตัวเองว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เธอกำลังจะไปเยี่ยม
มารี เซย์ลส์ ผู้รอดชีวิตคนเดียวจากเหตุการณ์อันรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ที่เกือบคร่าชีวิตเธอครั้งนั้น เธอตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ภาพความจำเก่าๆกลับมาทำร้ายได้ เธออุตส่าห์จดจ่ออยู่กับการขับรถมาได้ตั้งชั่วโมงครึ่งแล้วเชียว ซึ่งเธอก็คิดไปว่าเธอทำได้ดีแล้ว
ไรล์ลี่ขับรถเข้าเมืองจอร์จทาวน์ ผ่านบ้านทรงวิคตอเรียหรูหรา แล้วมาหยุดจอดที่หน้าบ้านเลขที่ที่มารีได้บอกไว้ทางโทรศัพท์ – หน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์อิฐมอญสีแดงที่มีแบบเว้าของหน้าต่างยื่นเป็นเหลี่ยมออกมาสวยงาม เธอนั่งต่อในรถอีกชั่วครู่ ไตร่ตรองอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ในขณะที่พยายามรวบรวมความกล้า
เธอลงจากรถในที่สุด ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นบันไดก็รู้สึกดีใจที่มารีออกมาต้อนรับเธอที่หน้าประตู ในชุดเรียบๆแต่ดูสวยสง่า มารียิ้มแบบซีดๆ หน้าของเธอดูเหนื่อยและล้า ดูจากถุงใต้ดวงตาเธอแล้ว ไรล์ลี่แน่ใจว่าเธอคงจะผ่านการร้องไห้มาแน่และมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เธอกับมารีเจอหน้ากันบ่อยผ่านวิดีโอแชทในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่มีอะไรที่จะปกปิดกันและกันได้หรอก